เวลาจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้นเอง

อ่าน.......ขำๆ

วันอังคารที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2554

ก่อนไร้วิญญาณ"ร.อ.กฤช คัมภีรญาณ"คำพูดสุดท้ายที่ปลายสาย "แม่ทานข้าวรึยัง ไม่ต้องเป็นห่วงสบายดีครับ

โดย...ปรีชยา ซิงห์

ประหนึ่ง ฟ้าฟาดสนั่นหวั่นไหวอีกครั้งใหญ่ เมื่อกลุ่มก่อความไม่สงบกว่า 40 คน พร้อมอาวุธบุกเข้าโจมตีฐานปฏิบัติการพระองค์ดำ สังกัดร้อย ร.15121 ฉก.นราธิวาส 38 บ้านมะรือโบตก หมู่ 1 ต.มะรือโบตก อ.ระแงะ จ.นราธิวาส ในเวลา 19.30 น. ค่ำวันพุธที่ 19 มกราคม 2554 ยังผลให้ทหารกล้าบาดเจ็บรวดเดียวถึง 6 นาย



ที่ เลวร้ายกว่า...ทหาร 4 นาย ต้อง "พลีชีพ" จากการยิงปะทะตอบโต้กันและกันของทั้ง 2 ฝ่าย ท่ามกลางความร้อนแรงของสถานการณ์ ที่นับวันจะทวีความรุนแรงๆ ณ ดินแดนปลายด้ามขวานทอง ประเทศสยาม

หนึ่งในผู้วายชีวีนั้น คือ "ร.อ.กฤช คัมภีรญาณ" ผบ.ร้อย ร.15121 ฉก.นราธิวาสที่ 38 นักเรียนเตรียมทหาร เพื่อนร่วมรุ่น 38 กับ ร.ต.อ. ธรณิศ ศรีสุข หรือ "ผู้กองแคน" วีรบุรุษผู้สละชีพขณะออกลาดตระเวนในพื้นที่ อ.บันนังสตา จ.ยะลา ไปเมื่อเดือนกันยายน 2550

ทั้งที่ เพิ่งจะผ่านพ้นการ "ครบรอบ 7 ปี เหตุการณ์ปล้นปืนค่ายทหารกองพันพัฒนาที่ 4 อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส" เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2547 มาเพียง 15 วันเท่านั้น

หลัง จากเรียนจบโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้าฯ ร.อ.กฤช คัมภีรญาณ หรือ "บอย"เข้ารับบรรจุเป็นข้าราชการครั้งแรกในตำแหน่ง "ผบ.บว.ร้อย.อวบ.ร.161 พัน.1" พื้นที่ อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2548 ถึง 30 กันยายน 2549 จากนั้น เขาถูกส่งตัวมาปฏิบัติงานในพื้นที่ อ.จะแนะ และ อ.ระแงะ จ.นราธิวาส เมื่อ 1 ตุลาคม 2549 จวบจนปัจจุบัน

สายเลือดชาย ชาติทหารที่มีอยู่ในจิตวิญญาณอย่างเต็มตัว ด้วยเป็นถึงหลานชายของ พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา อดีต รมว.กลาโหม เป็นบุตร พล.ท.สุนทร คัมภีรญาณ และ น้องพ.อ.หญิงรวิฉร คัมภีรญาณ


ทำให้ตลอดระยะ เวลา 5 ปี ของชีวิตราชการในพื้นที่ จังหวัดชายแดนใต้ "ผู้กองกฤช" มุ่งมั่นทุ่มเทแรงกายแรงใจปฏิบัติภารกิจอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย โดยไม่คิดละทิ้ง "ความหวัง" ที่จะสร้างความผาสุก ความเข้าใจกับพี่น้องชาวไทยพุทธ-มุสลิม ให้กลับมามีสันติภาพ สงบสุข อย่างไม่ต้องนอนหวาดระแวง ขวัญผวา เสียงปืน เสียงระเบิด


ทั้งที่ ตัวของเขาเอง มีโอกาสที่จะย้ายตัวเองไปยังพื้นที่อื่นที่มีความปลอดภัยมากกว่านี้

ที่ สำคัญ ร.อ.กฤช เป็นคนเลือก "อาสา" เข้าไปประจำการที่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วยตัวเอง แม้ว่า พ่อ แม่ พี่ๆ เพื่อนๆ จะ "เป็นห่วง" อย่างมาก พร้อมกับ "ร้องขอ" ให้เขาอย่าเอาชีวิตไปเสี่ยงกับความไม่แน่นอนของสถานการณ์ความรุนแรง ที่ระอุอยู่มิได้ขาด


แต่ด้วยสปิริตเกินร้อย ของ "บอย" ทุกคนจึงต้อง "จำยอม" เปลี่ยนการ "ห้ามปราม" เป็น "คำเตือนย้ำ" ให้ "ระวังตัว" โดยมีเงื่อนไขต้อง "โทรศัพท์หาพ่อแม่และพี่น้องทุกวัน" เป็น "คำสัญญา" เพื่อรายงานตัวว่า "ปลอดภัย"


ความเป็นคนดี อัธยาศัยดี เข้ากับคนง่าย ขยัน ตั้งใจ เด็ดเดี่ยว จึงไม่น่าแปลกในเลยว่า ทำไม "ผู้กองกฤช" ถึง "เป็นที่รัก" ของคนในครอบครัว ผู้บังคับบัญชาตลอดจนเพื่อนและพี่น้องที่ร่วมอยู่ในชุดปฏิบัติการในพื้นที่ เป็นอย่างมาก รวมถึงชาวบ้านในพื้นที่

แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ ส่องแสงรำไรเป็นนิมิตรหมายอันดี หลังบทพิสูจน์ความตั้งใจ ด้วยความทุ่มเทสุดๆ ในการรับใช้ชาติ ยังผลให้อีกไม่นาน ร.อ.กฤช กำลังจะได้เลื่อนยศเป็น "พันตรี" กำลังจะเรียนจบปริญญาเอก พร้อมทั้งวางแผนเตรียมเข้าเรียนที่ "โรงเรียนเสนาธิการทหารบก" ในเดือนเม.ย. ที่จะถึงนี้

และกำลังจะมี "ข่าวดี" ด้วยการจูงมือ "วรรณนภา นิลทับ" คู่หมั้นสาวที่รักกันมานานเข้าสู่ "ประตูวิวาห์" สร้างชีวิตครอบครัวด้วยกันอย่างมีความสุข

ทุกอย่างกำลังจะไปได้สวยและเพอร์เฟคสุดๆ


แต่... สิ่งวาดฝันสวยหรูเหล่านั้นกลับ "พังครืน" ทลายลงไป เพียงชั่วไม่กี่นาที



@ 18.00 น. / 19 ม.ค.54 "แม่ทานข้าวรึยัง ไม่ต้องเป็นห่วงสบายดีครับ"

คำ พูดปลายสายทางนราธิวาส ต่อตรงมาถึง "สุมนมาศ คัมภีรญาณ" มารดาซึ่งอยู่กรุงเทพฯ บอกให้รู้ถึงความอุ่นใจว่า ลูกชายคนสุดท้อง ในบรรดาพี่น้อง 5 คน ยังสบายดีอยู่ ดั่งเช่นทุกวัน ก่อนหน้าฝันร้ายอย่างใหญ่หลวง จะยัดเยียด "ความสูญเสีย" ให้ตราตรึงไปตลอดชีวิตของครอบครัว "คัมภีรญาณ" เพียง 1 ชั่วโมงครึ่งต่อมาเท่านั้น

ไม่มีใครรู้ ว่านี่ จะเป็น "เสียงสุดท้าย" ที่ไม่มีวันได้ยินอีกต่อไปแล้ว ของ "บอย" นายทหารหนุ่มอนาคตไกล ว่าที่ "ด็อกเตอร์" ซึ่งต้องจบชีวิตลงด้วยวัยแค่ 33 ปี

อาจจะดูไร้ความหมาย หากวันนี้ ร่างไร้วิญญาณซึ่งคลุมด้วยธงไตรรงค์ "แดง ขาว น้ำเงิน" จะได้รับการเลื่อนชั้นยศประดับเป็น "พล.อ.กฤช คัมภีรญาณ" อย่างสมเกียรติ มากศักดิ์ศรี ประดับกองเกียรติยศอย่างยิ่งใหญ่


ทว่านั่นกลับเทียบไม่ได้กับ "ความสูญเสีย" ของครอบครัว รวมถึงผู้ใกล้ชิดที่ได้รับ

แม้ทุกคนจะ "ภูมิใจ" กับความเสียสละ "เพื่อชาติ" ของบรรดาเหล่าทหารกล้า


แต่ ถ้าเลือกได้ คงไม่มีใคร "อยากแลกน้ำตา สะอื้นความเสียใจ ใจสลายกับความสูญเสีย" ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ด้วยไม่รู้เลยว่า เรื่องราวอันเลวร้าย จะเกิดขึ้นกับครอบครัวของพวกเขาเมื่อไหร่!!!


การ ตายของ ร.อ.กฤช คัมภีรญาณ , ส.อ.อับดุลเลาะ ดะหยี, ส.ท.เทว รัตน์ เทวา และพลทหารประวิทย์ ชูกลิ่น จากเหตุหวังปล้นปืนฐานปฏิบัติการ กองร้อยทหารราบที่ 15121 สังกัดหน่วยเฉพาะกิจนราธิวาสที่ 38 บ้านมะรือโบตก รวมไปถึงตำรวจ ทหารคนอื่นๆ ชาวบ้าน เจ้าหน้าที่ อาสาสมัคร ที่เสียชีวิต ได้รับบาดเจ็บ พิการ ทุพพลภาพ จากเหตุการณ์อื่นๆ ไปก่อนหน้านี้

นี่ไม่ใช่ครั้งแรก และไม่ใช่ครั้งสุดท้าย...


ตราบ ใดที่เสียงปืน เสียงระเบิด ยังคงดังอยู่อย่างต่อเนื่อง และกำลังตูมตาม ปึ้งปั้ง อยู่ทุกนาที ทุกชั่วโมง ทุกวัน อย่างคาดเดาไม่ได้

ศพแล้ว ศพเล่า ต้องสังเวยการจู่โจมถล่มด้วยคมกระสุน อานุภาพความรุนแรงของลูกไฟ เลือดต้องไหลหลั่งนองผืนแผ่นดินไทย โดยไม่ได้รับการ "แก้ไข" ทำได้เพียงแค่ "เยียวยา" ค่าเสียหาย แต่เรื่องของ "จิตใจ" คนที่ยังอยู่ยัง "เบื้องหลัง"


กลับช่วยอะไรไม่ได้เลย !!!


เมื่อไหร่ ? "ความไม่สงบ" จะหยุด "คุกคาม" ชีวิตของชาวบ้านตาดำๆ เจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ อาสาสมัคร ผู้เสียสละ

เมื่อไหร่ ? จะมี "อัศวินขี่ม้าขาว" มาช่วยห้ามทัพ สาดน้ำเย็นดับ "สงครามร้อน" เหล่านี้

เมื่อไหร่ ? "เทวดา" จะมาดลใจ "ผู้ก่อการ(ร้าย)" ให้คำนึงถึงความ "เมตตา" เลิกเข่นฆ่า เพื่อนมนุษย์ด้วยกันเอง

เมื่อไหร่ ? "สันติภาพ" จะบังเกิด เพื่อให้ "ความต้องการ" ของทุกฝ่าย อยู่ตรงกลาง เชื่อม รอยร้าว ความโกรธแค้น ด้วย "ความเข้าใจ"

นี่คงเป็น "คำถาม" ที่ไม่มี ใครหน้าไหน รัฐบาลใด "หาคำตอบ" และ "จุดจบ" ของมัน ไม่ได้สักที...




คงทำได้เพียง อ้อนวอน อธิษฐานจิตให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ คุ้มครองพวกเขาให้ปลอดภัย และรักษาตัวอย่างอยู่รอด...













- คลิ๊กอ่านรายละเอียด....นสพ มติชน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น