เวลาจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้นเอง

อ่าน.......ขำๆ

วันพุธที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ตำนานๆ : ก่อร่างสร้างในหลวง




เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช Bhumibol Aduldejหรือทารกสงขลา Baby Songkla ประสูติท่ามกลางอากาศที่หนาวเหน็บในวันที่ 5 ธันวาคม 2470 ที่บรูคลิน ย่านของผู้มีอันจะกินแถบชายเมืองบอสตัน มลรัฐแมสซาจูเส็ตส์ สหรัฐอเมริกา ขณะที่รัชกาลที่ 7 ซึ่งเป็นลุงของพระองค์กำลังดิ้นรนต่อสู้กับกระแสความทันสมัยเพื่อความอยู่ รอดของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์


รัชกาลที่ 7 รับช่วงราชบัลลังก์มาได้ไม่นานหลังจาก 15 ปีที่เป็นหายนะในสมัยรัชกาลที่ 6 ผู้เป็นพระเชษฐา ท้องพระคลังว่างเปล่า และความไม่พอใจที่คุกรุ่นต่อการผูกขาดอำนาจของราชวงศ์จักรี อำนาจของสถาบันกษัตริย์ในยุโรปถูกลิดรอนราชบัลลังก์ของรัสเซียและจีนถูกโค่น




เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาทพระอนุชาทรง มีจดหมายถึงรัชกาลที่ 6 ผู้เป็นพระเชษฐา เมื่อเดือนเมษายน 2460 เพื่อเตือนสติรัชกาลที่ 6 มีความว่า..สถานการณ์ที่บีบให้พระเจ้าซาร์แห่งรัสเซียต้องสละราชบัลลังก์ นั้นเกิดจากน้ำมือของพระเจ้าซาร์เอง เพราะพระองค์ทรงปฏิเสธที่จะปรับตัวให้เข้ากับกลุ่มก้าวหน้าต่างๆ ซึ่งกำลังเสียงดังมากขึ้นทุกขณะ และทรงปฏิเสธที่จะสมานฉันท์กับพวกเขาให้ทันต่อเวลา พระราชวงศ์ไม่สามารถต่อกรกับพวกฝ่ายก้าวหน้าได้หรอก ในท้ายที่สุด การณ์จะต้องเป็นไปตามที่พวกฝ่ายก้าวหน้าปรารถนา..

แต่ รัชกาลที่ 7 ก็ยังพอมีเวลาหันเหความคิดของพระองค์ไปยังทารกในบอสตันที่อยู่ห่างไกล เลือกชี่อให้กับพระราชวงศ์ชั้นสูงที่ประสูติมาได้ หนึ่งสัปดาห์ให้หลังโดย ชื่อนั้นถูกส่งไปทางโทรเลข ภูมิพล อดุลยเดช หรือ พลังแผ่นดิน อำนาจไร้เทียมทาน และเป็นกษัตริย์ไทยเพียงหนึ่งเดียวที่ทรงพระราชสมภพในสหรัฐอเมริกา

พระราชบิดาคือเจ้าฟ้ามหิดล กรมหลวงสงขลานครินทร์ ผู้เป็นพระอนุชาต่างมารดาของรัชกาลที่ 7
เจ้าฟ้ามหิดลประสูติในปี 2435 เป็นพระโอรสองค์ที่ 69 ของรัชกาลที่ห้า กับพระนางเจ้าสว่างวัฒนา มเหสีองค์ที่สอง เจ้าฟ้ามหิดลจบการศึกษาและเสด็จกลับประเทศไปรับตำแหน่งสูงในกองทัพเรือที่กำลังเติบโตของสยาม

ในปี 2460 เสด็จไปศึกษาแพทย์ที่ฮาร์เวิร์ดและได้รักกับนางสาวสังวาลย์ ตะละภัฏนัก ศึกษาพยาบาล สามัญชนเชื้อสายจีนเกิดที่ฝั่งธนบุรี ย่านวัดอนงคารามในครอบครัวยากจนเมื่อปี 2443 เมื่อกำพร้าได้ไม่กี่ปี ก็ถูกถวายตัวเข้าวังเมื่ออายุได้เจ็ดขวบ เพื่อไปรับใช้พระนางเจ้าสว่างวัฒนาพระ ราชมารดาของเจ้าฟ้ามหิดล ซึ่งต่อมาได้ส่งหญิงสาวสมองดีคนนี้ไปเรียนที่วิทยาลัยซิมมอนส์ บอสตัน สหรัฐอเมริกา แล้วทั้งคู่ก็รักกันที่เมืองบอสตัน ทั้งๆที่ทางพระราชวังคัดค้านการแต่งงานอย่างเป็นทางการกับคนนอกราชวงศ์

แต่เนื่องจากคุณสังวาลย์เป็นที่โปรดปรานของพระนางเจ้าสว่างวัฒนาและเจ้าฟ้ามหิดลเองก็คงไม่มีโอกาสขึ้นเป็นกษัตริย์เพราะอยู่ถึงลำดับที่หก ทั้งสองจึงได้แต่งงานกันอย่างเป็นทางการแล้วเธอได้รับฐานันดรที่แม้จะค่อนข้างต่ำแต่ก็เป็นที่นบนอบ เรียกว่าหม่อมสังวาลย์


หลัง จากสมรส ในปี2463 ทั้งสองเดินทางไปทั่วทั้งในสหรัฐฯ ยุโรป ตะวันออกกลาง และเอเชีย ทั้งเพื่อการศึกษา ท่องเที่ยวและเพื่อปฏิบัติภารกิจ มีลูกคนแรกเกิดที่ลอนดอนเมื่อเดือนพฤษภาคม 2466 เป็นลูกสาวชื่อว่า กัลยาณิวัฒนา


เจ้าฟ้ามหิดลมักป่วยออดๆแอดๆเหมือนพี่น้องของพระองค์ส่วนใหญ่ อาจเป็นเพราะการแต่งงานกันเองในราชวงศ์ที่เชื้อสายใกล้ชิดกัน พระอัครมเหสีทั้งสามพระองค์ ล้วนเป็นน้องสาวต่างมารดาของพระองค์เองคือ สมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา พระบรมราชเทวี สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวี และสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระบรมราชินีนาถ โดยที่พระโอรสหลายพระองค์ต่างก็เสียสิ้นพระชนม์ตั้งแต่ยังเป็นทารกหรือยัง ทรงพระเยาว์

ใน ปี 2468 ราชสกุลมหิดลย้ายไปประทับที่ไฮเดลเบิร์ก ประเทศเยอรมัน เพื่อให้เจ้าฟ้ามหิดลได้เข้ารับการรักษาพระองค์ที่นั่น วันที่ 20 กันยายน 2468 หม่อมสังวาลย์ก็คลอดลูกชาย ชื่อว่า อานันทมหิดล ใน อีกสองเดือนต่อมา เมื่อรัชกาลที่ 6 สวรรคตโดยปราศจากรัชทายาท โดยในช่วงห้าปีก่อนหน้านั้น พระเชษฐาต่างมารดาของเจ้าฟ้ามหิดลที่อยู่ในชั้นเจ้าฟ้าสิ้นพระชนม์ไปสาม พระองค์

กษัตริย์องค์ใหม่คือ รัชกาลที่ 7 ก็ไม่มีพระโอรส เจ้าฟ้ามหิดลจึงขยับมาอยู่ในลำดับที่สองของการสืบราชสมบัติ หลัง จากพิธีราชาภิเษกของรัชกาลที่ 7 ในปี 2469 เจ้าฟ้ามหิดลก็เสด็จกลับฮาร์เวิร์ด เพื่อทรงศึกษาต่อในวิชาแพทย์ พระองค์มีพระประสงค์ที่จะนำการแพทย์สมัยใหม่สู่สยาม


ปลายปี 2470 รัชกาลที่ 7 ทรงประกาศว่าพระโอรสทุกพระองค์ของพระเชษฐาและพระอนุชาชั้นเจ้าฟ้า และที่ต่างพระมารดา ของพระองค์ ไม่ว่าจะเกิดจากพระมารดาที่มีสถานะใด จะได้รับการขนานนามเป็น พระองค์เจ้า และมีโอกาสยกสถานะสูงขึ้นไปอีก เป็นสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อน เป็นนโยบายในการเปลี่ยนสายเลือดที่ถือว่าไม่บริสุทธิ์เพื่อความอยู่รอดของราชวงศ์จักรี พี่น้องทั้งหกของเจ้าฟ้ามหิดลมีพระโอรสเพียงแค่สองพระองค์ ทั้งยังไม่ใช่เลือดแท้ของราชวงศ์จักรีล้วนๆอีกต่างหาก

เจ้าฟ้าจักรพงษ์ที่สิ้นพระชนม์ไปแล้วมีพระโอรสหนึ่งองค์ คือ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ ซึ่งมีมารดาเป็นสามัญชนชาวรัสเซีย(หม่อมคัทริน เดสนิคสกีCathrine Desniksky)

สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจุฑาธุชธราดิลก กรมขุนเพ็ชรบูรณ์อินทราชัยที่สิ้นพระชนม์ไปแล้ว(พระชนม์ 31 ชันษา โรคไตพิการ)ก็มีพระโอรสหนึ่งพระองค์คือพระองค์เจ้าวรานนท์ธวัช ซึ่งมีมารดาเป็นนางกำนัลหรือหญืงรับใช้ ไม่มีชาติสกุล
รัชกาลที่ 7 จึงทรงต้องยกสถานะของบรรดาเชื้อพระวงศ์ที่เป็นโอรสของชั้นเจ้าฟ้าเพื่อให้มีตัวเลือกระดับพระองค์เจ้า 11 พระองค์ ซึ่งรวมถึงพระโอรสทั้งสองจากราชสกุลมหิดล

แต่เจ้าฟ้ามหิดลไม่ ประสงค์ให้พระโอรสของพระองค์ต้องผูกติดอยู่กับพิธีกรรมและได้รับการปฏิบัติ เยี่ยงเทวดา เมื่อทรงประชวรอย่างหนักในปี 2471 พระองค์ทรงขอร้องให้ฟรานซิส แซร์ช่วยป้องกันไม่ให้พระโอรสของพระองค์ต้องขึ้นเป็นกษัตริย์หากพระองค์สิ้น พระชนม์ เจ้าฟ้ามหิดลมีพระชนม์อยู่จนจบจากฮาร์เวิร์ด และเสด็จกลับกรุงเทพฯ ผู้คนมองว่าพระองค์เป็นคนฉลาด แต่ไม่หนักแน่นไม่เด็ดขาด และอ่อนเชิงทางการเมือง


บางคนก็วิจารณ์กำพืดพระชายาของพระองค์ และพระองค์ก็มักจะประชวรอยู่บ่อยๆ กล่าวกันว่าพระองค์มีพระทัยเอนเอียงไปทางดัานสาธารณรัฐหรือ ระบอบที่มีประมุขจากสามัญชนที่มาจากการเลือกตั้งหรือระบอบประธานาธิบดี โดยทรงชื่นชมการมีสิทธิและเสรีภาพของชาวอเมริกัน แต่พระองค์ก็ยังมีผู้สนับสนุนจำนวนมาก ส่วนหนึ่งด้วยความกลัวต่ออีกทางเลือกหนึ่ง คือ เจ้าฟ้าบริพัตร ที่ควบคุมกองทัพสยาม

เจ้าฟ้ามหิดลทรงหวังที่จะทำงานเป็นแพทย์ แต่สถานะความเป็นเจ้าฟ้าก็แทรกแซงไปทุกขั้นตอน การตรวจไข้ก็ต้องใช้ราชาศัพท์ ที่ น้อยคนนอกราชสำนักจะเข้าใจ ในฐานะว่าที่เจ้าเหนือหัว เจ้าฟ้ามหิดลจะสัมผัสได้ก็แต่ส่วนสูงสุดของคนไข้เท่านั้น คือ ศีรษะ จากนั้นไม่นานพระองค์ก็ประชวรจึงเสด็จกลับกรุงเทพฯ และสิ้นพระชนม์ในเดือนกันยายน ขณะมีพระชนม์ 37ชันษา(ในวันที่ 24กันยายน 2472เป็นวันมหิดล)

หม่อมสังวาลย์ผู้เป็นหม้ายได้รับฐานันดรใหม่ว่า หม่อมสังวาลย์ มหิดล ณ อยุธยาเพื่อให้ดูว่ามีชาติสกุลของพวกศักดินาอยู่บ้าง ผู้ที่ปกป้องสถานะราชนิกูล ให้กับหม่อมสังวาลย์ก็คือพระนางเจ้าสว่างวัฒนาที่แน่วแน่ในการที่จะให้เลือดเนื้อเชื้อไขของพระนางเป็นผู้สืบราชบัลลังก์

ราชสกุลมหิดลพักอยู่ที่วังสระปทุมอันกว้างขวางของพระนางเจ้าสว่างวัฒนาในคฤหาสน์ไม้ริมคลองแสนแสบ ตรงสพานหัวช้าง ใกล้ศูนย์กลางกรุงเทพตรงข้ามสยามแสควร์ปัจจุบัน มีทั้งพยาบาล คนรับใช้ นางสนองพระโอษฐ์ และครูฝรั่ง หม่อมสังวาลย์เลี้ยงดูพระโอรสด้วยตนเอง ปี 2473 เจ้าฟ้าอานันท์ก็เข้าเรียนที่โรงเรียนคาธอลิคของชนชั้นสูงคือ มาแตร์เดอี และสองปีต่อมา เจ้าฟ้าภูมิพลก็ทรงตามไปเรียนที่เดียวกัน

ดูเหมือนว่าเจ้าฟ้าอานันท์จะ สืบทอดความอ่อนแอจากพระราชบิดาและพระประยูรญาติ พระองค์มักจะประชวรอยู่บ่อยๆ และฟกช้ำง่ายทำให้ต้องขาดเรียน แพทย์ประจำพระองค์เรียกภาวะนี้ว่า เลือดจาง



ชีวิตในวังสระปทุมเริ่มมีความยากลำบากในปี 2474-2475 หม่อมสังวาลย์ไม่สามารถทนอากาศร้อนของกรุงเทพได้ การเมืองทวีความตึงเครียด เศรษฐกิจตกต่ำของสหรัฐฯส่งผลให้รัฐบาลประสบปัญหาทางการเงิน เชื้อพระวงศ์ชั้นสูงกำหนดภาษีใหม่ๆเอากับชนชั้นกลางแต่ปกป้องผลประโยชน์ของ ตนเอง เมื่อรัชกาลที่ 7 ไม่สามารถรับมือภาวะเศรษฐกิจโลกที่ระส่ำระสายได้ ข้าราชการพลเรือนและทหารกลุ่มหนึ่งก็ทำการยึดอำนาจและจัดตั้งรัฐบาลภายใต้ รัฐธรรมนูญ

แม้ว่ารัชกาลที่ 7 ทรงต้องยอมรับระบอบรัฐธรรมนูญ แต่เชื้อพระวงศ์ไม่ยอมแพ้และวางแผนจะฟื้นระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์กลับคืนมา

เดือนเมษายน 2476 ราชสกุลมหิดลก็เก็บข้าวของและย้ายไปอยู่เมืองโลซานน์สวิตเซอร์แลนด์เพื่อความปลอดภัยไว้ก่อนจนถึงปี 2488 เป็นเวลากว่าสิบปี

แม้ ว่าระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ของไทยต้องยอมแพ้คณะราษฎรในปี 2475 แต่ประเพณีและความเชื่อเป็นสิ่งที่ยากจะเปลี่ยนและแทนที่ด้วยรัฐสมัยใหม่ได้ ในหลวงอานันท์ทรงละล้าละลังในบทบาทของธรรมราชา แต่ในหลวงภูมิพลพระองค์ใหม่ได้แสดงความมุ่งมั่นในหน้าที่อย่างเข้มแข็งที่จะสืบราชบัลลังก์

การที่ในหลวงภูมิพลไม่แย้มพระสรวลใน สาธารณะเกือบตลอดช่วงห้าสิบปีต่อมาแสดงให้เห็นว่าพระองค์มีความตั้งพระทัย ที่จะครองราชสมบัติอย่างเต็มที่โดยเด็ดขาดและถาวรแบบมืออาชีพโดยไม่ลังเลอีก ต่อไป ในหลวงภูมิพลเหมาะกับการเป็นกษัตริย์มากกว่าในหลวงอานนท์เพราะทรงมีวินัยในการทำงานมากกว่าและเชื่อฟังผู้หลักผู้ใหญ่มากกว่า โดยเฉพาะพระราชชนนีศรีสังวาลย์

ช่วงที่ประทับอยู่กับพระชนนีที่ วิลลาวัฒนาเมืองโลซานน์เพื่อหลบคดีกรณีสวรรคตของรัชกาลที่ 8 ในระหว่างปี 2489-2493 เป็นเหมือนการรอเวลาเพื่อเตรียมตัวขึ้นครองราชบัลลังก์ ในหลวงภูมิพลทรงใช้เวลาเรียนรู้วัฒนธรรมไทยและราชสำนัก ทรงเลิกเรียนมหาวิทยาลัยเพื่อหันมาศึกษาหลักสูตรวิชาการเมือง การปกครองและกฎหมายที่จัดถวายแด่พระองค์โดยเฉพาะ

ในหลวงภูมิพลได้กลายเป็นพระมหากษัตริย์เต็มขั้น มีมหาดเล็กคุกเข่าปลุกพระองค์ทุกเช้า เสวยครัวซองต์และกาแฟบนพระแท่นบรรทม ทุกคนยกเว้นพระราชชนนีจะต้องกราบบังคมทูลต่อพระองค์ด้วยคำว่าพระองค์ และจะต้องระมัดระวังที่จะไม่ถูกต้องพระวรกายของพระเจ้าอยู่หัว

ในหลวง ภูมิพลทรงได้รับการถวายรายงานจากผู้สำเร็จราชการฯที่กรุงเทพฯเป็นประจำถึง การตัดสินใจต่างๆ ที่กระทำในพระปรมาภิไธย โดยมีราชเลขาธิการคอยดูแล มีผู้มาเข้าเฝ้าอยู่เนืองๆ ทำให้ในหลวงและพระราชชนนีทรงรับรู้ความเป็นไปทางการเมืองที่กรุงเทพฯ หม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์วงศ์สนิท สวัสดิวัฒน์(ท่านชิ้น)พระเชษฐาพระนางเจ้ารำไพพรรณี ได้เขียนบันทึกให้ในหลวงภูมิพลอ่าน

โดยบอกเล่าถึงการที่มรว.เสนีย์ ปราโมชกับพรรคประชาธิปัตย์ ใส่ร้ายนายปรีดีในกรณีสวรรคตเพื่อช่วงชิงอำนาจ ท่านชิ้นยังได้อธิบายว่าในหลวงอานันท์น่าจะยิงพระองค์เองโดยอุบัติเหตุ และเขียนถึงนายปรีดีว่า “จากการเข้าเฝ้าในหลวงและพระราชชนนีในครั้งนี้ ผมกล้าบอกคุณอย่างแน่ใจว่าทั้งสองพระองค์ไม่เชื่อว่าคุณปรีดีเป็นผู้บงการ...”

หลัง การรัฐประหารพฤศจิกายน 2490 เหล่าขุนทหารกดดันให้พระราชวงศ์เสด็จกลับมาทำพิธีฌาปนกิจพระบรมศพในหลวง อานันท์และทำพิธีราชาภิเษกอย่างเป็นทางการ แต่พระราชชนนีศรีสังวาลย์ปฏิเสธ ที่โลซานน์อันเป็นที่พำนักลี้ภัยของราชวงศ์ต่างๆ ก็มีข่าวการจบสิ้นของสถาบันกษัตริย์ยุคหลังสงครามท่ามกลางความผันแปรในระบอบ ประชาธิปไตย พระราชวงศ์ยังมีเหตุให้ต้องกลัวกระแสชาตินิยมและคอมมิวนิสต์ที่ได้เกิดความ รุนแรงในเอเชียหลายประเทศ ทั้งขับไล่เจ้าอาณานิคมและชนชั้นนำเก่าไปพร้อมๆกัน


พลพรรคคอมมิวนิสต์ของเหมาเจ๋อตงกำลังจะได้รับชัยชนะในประเทศจีน และเชื่อกันว่าเป็นผู้ให้การสนับสนุนขบวนการคอมมิวนิสต์ใต้ดิน สายจีนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้


ส่วนทางฝั่งตะวันตกของไทย แนวร่วมพม่าที่นำโดยนายพล อองซาน(พ่อ ของอองซานซูจี ผ้ถูกตะวันตกตีตราอย่างไม่เป็นธรรมว่าเป็นคอมมิวนิสต์) ขับไล่อังกฤษออกไปได้ในเดือนมกราคม 2491 และปฏิเสธที่จะฟื้นฟูสถาบันกษัตริย์พม่ากลับคืนมา


ทางฝั่งตะวันออก ความปั่นป่วนในลาวและกัมพูชาเป็นภัยคุกคามสถาบันกษัตริย์ ฝ่ายชาตินิยมของโฮจิมินห์ในเวียตนามกำลังต่อสู้กับจักรวรรดินิยมฝรั่งเศสที่พยายามนำจักรพรรดิเบ๋าได๋กลับคืนมา บางกอกโพสต์รายงานข่าวจักรพรรดิเบ๋าได๋ ในเดือนกรกฎาคม 2492 ด้วยการพาดหัวว่า “เมื่ออินโดจีนไป ไทยก็ไปด้วย

สวิตเซอร์แลนด์กลายเป็นที่หลบภัยของพระราชวงศ์ช่วยกันในหลวงภูมิพลให้มีเวลาว่างที่จะเสด็จเดินทาง เล่นดนตรีและทรงพบปะสมาคม ทรง ขับรถไปปารีสบ่อยๆ เพื่อช้อปปิ้งจับจ่ายและท่องราตรีในคลับเเจ๊ซ ทรงช่วยเป็นลูกมือให้พระองค์เจ้าพีระพงศ์พระเจ้าอานักแข่งรถ ทรงใช้เวลาส่วนใหญ่กับการถ่ายรูปและดนตรี ทรงฝันจะเป็นนักดนตรีเเจ๊ซ ทรงสะสมเครื่องดนตรีครบครันมากที่สุดคนหนึ่งในยุโรป



และ ทรงมีวงดนตรีที่ประกอบด้วยคนไทยเป็นส่วนใหญ่ และมีพันเอกอร่าม รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์พระสวามีคนใหม่ของเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนาร่วมอยู่ด้วย พวกเขาเล่นดนตรีด้วยกันกันตลอดทั้งคืน



ราชสำนักประกาศข่าวความสำเร็จในเพลงพระราชนิพนธ์ ในเดือนกันยายน 2491 สื่อมวลชนประโคมข่าวว่าเพลงดวงใจกับความรักที่ในหลวงทรงพระราชนิพนธ์จะมาถึง กรุงเทพฯโดยมากับหม่อมเจ้าจักรพันธ์เพ็ญศิริที่เป็นคนเขียนเนื้อร้อง เพลงก่อนหน้านี้คือเพลงสายฝนที่ถูกทำให้เป็นที่นิยมด้วยวิทยุและการแสดง คอนเสิร์ตต่างๆ

นิตยสาร ไทม์ได้ชี้เหตุผลหลักที่ทำให้พระราชวงศ์ต้องประทับในยุโรป เพราะที่โลซานน์น่าจะเป็นสถานที่เหมาะต่อการหาคู่ครองให้ในหลวงภูมิพล ซึ่งเป็นงานสำคัญอันดับแรกสำหรับราชพระราชวงศ์เพราะมีรัชทายาทเหลืออยู่น้อยมาก


หลังจากเสด็จถึงโลซานน์ไม่นาน พระองค์เจ้ารังสิตประยูรศักดิ์ก็ จัดเตรียมรายชื่อหญิงสาวที่มีคุณสมบัติเหมาะสม ขณะที่ในหลวงภูมิพลดูจะเต็มพระทัยโดยทรงรู้หน้าที่ ความสนพระทัยแรกของพระองค์ที่รับรู้กันคือหญิงสาวที่ชื่อสุพิชชา โสณกุลธิดาสาวของพระองค์เจ้าธานีนิวัติ(กรมหมื่นพิทยลาภพฤฒิยากร) ซึ่งในหลวงภูมิพลได้พบในปี 2489 และอีกครั้งตอนต้นปี 2491 เมื่อเธอและพ่อแวะเยี่ยมโลซานน์ระหว่างทางไปอังกฤษ หนังสือพิมพ์ไทยรายงานเรื่องนี้ แต่พระองค์เจ้าธานีนิวัติต้องการให้สุพิชชาจบมหาวิทยาลัยก่อนจึงกั้นขวาง ความสัมพันธ์เสีย

ระหว่างนั้น ทรงพบพระธิดาของหม่อมเจ้านักขัตรมงคล กิติยากร เอกอัครราชทูตไทยประจำปารีส หม่อมเจ้านักขัตรมีความคุ้นเคยกับพระราชวงศ์ เคยเป็นอัครราชทูตประจำลอนดอน เป็นที่รู้กันดีว่าราชนิกูลกิติยากรพยายามผลักดันตนเองเข้าไปเป็นเชื้อพระ วงศ์

พระบิดาของหม่อมเจ้านักขัตรมงคลคือพระองค์เจ้ากิติยากร(พระ เจ้าบรมวศ์เธอพระองค์เจ้ากิติยากรวรลักษร์ กรมพระจันทบุรีนฤนาถ) เป็นพระโอรสที่ไม่ใช่ชั้นเจ้าฟ้าของรัชกาลที่ 5 อันเกิดจากสนมคนโปรดคนหนึ่ง มีลูก 25 คนจากภรรยา 5 คน ซึ่งทำให้ราชนิกูลกิติยากรมีความสำคัญต่อราชวงศ์ บรรดาลูกๆได้แต่งงานอย่างมีการวางแผน/มีการจัดวางกับสกุลอื่นๆที่มี อิทธิพลอยู่ในราชสำนัก เช่น สารสินและสนิทวงศ์ ซึ่งเป็นสายที่มีจำนวนคนมากและร่ำรวยมาก สืบเชื้อสายมาจากรัชกาลที่ 2 และมุ่งมั่นที่จะเข้ามาร่วมพระราชวงศ์เช่นกัน

หม่อมเจ้านักขัตรมงคล กิติยากรเกิด ปี 2441 พระมารดาเป็นภรรยาหลวงของพระองค์เจ้ากิติยากร ซึ่งเป็นลูกของพระองค์เจ้าเทวะวงศ์พระอนุชาต่างมารดาของรัชกาลที่ 5 ผู้เป็นต้นตระกูลเทวกุล หม่อมเจ้านักขัตรและในหลวงภูมิพลจึงเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน หม่อมเจ้านักขัตรสมรสกับหม่อมหลวงบัว สนิทวงศ์ ที่สืบสายเลือดจากทั้งรัชกาลที่ 2 และรัชกาลที่ 5 และเป็นนางสนองชั้นอาวุโสของพระนางเจ้ารำไพพรรณี

ลูกๆ ของหม่อมเจ้านักขัตรและหม่อมหลวงบัวก็ออกเหย้าออกเรือนได้ดีไม่แพ้กัน ลูกชายคนโต คือ มรว.กัลยาณกิติ์ เกิดในปี 2472 แต่งกับสกุลสนิทวงศ์ ลูกชายคนที่สอง มรว.อดุลกิติ์แต่งกับหม่อมเจ้าพันธุ์สวลี ยุคล ลูกสาวของพระองค์เจ้าภานุพันธ์ยุคล เจ้าที่มีอาวุโสสูงสุดในยุคหลังสงครามโลก(มีพระธิดาคือพระองค์เจ้าโสมสวลีธินัดดามาตุและหม่อมหลวงสราลี กิติยากร (จิราธิวัฒน์)


หม่อมเจ้านักขัตรมีเป้าหมายที่สูงกว่านั้นสำหรับมรว. สิริกิติ์ (เกิด 2475) และมรว.บุษบา (เกิด 2477) เขาพาพระธิดาทั้งสองไปยุโรปเพื่อเป็นกุลสตรีไทยที่ทันสมัยแบบยุโรป และได้ใกล้ชิดกษัตริย์พระองค์ใหม่ ซึ่งไม่ใช่เรื่องยากเลยเนื่องจากในหลวงภูมิพลก็มักเสด็จเที่ยวปารีสบ่อยๆ

สิริกิติ์ ในวัย 15 ปีที่งดงามและฉลาดเกินวัยก็ เป็นที่ต้องพระเนตรของในหลวงภูมิพลในปี 2490 แต่หม่อมเจ้านักขัตรถูกย้ายไปลอนดอนเมื่อกลางปี 2491 และในหลวงภูมิพล จะเสด็จนิวัติพระนครต้นปี 2492 เพื่อพระราชทานเพลิงพระบรมศพรัชกาลที่ 8และเข้าพิธีราชาภิเษก ซึ่งเป็นโอกาสจะได้ทรงพบหญิงสาวอื่นๆ แต่เกิดอุบัติเหตุที่ทำให้หม่อมเจ้านักขัตรมีโอกาสวางเบ็ดอ่อยเหยื่อได้สำเร็จ

คือ เมื่อเวลาสี่ทุ่มของวันที่ 4ตุลาคม 2491 ในหลวงภูมิพลทรงขับรถเฟียตโทโปลิโนสปอร์ต (Fiat Topolino Sport) ชนท้ายรถบรรทุกบนทางด่านเจนืวา-โลซานนอกเมืองโลซานน์ราวสิบกิโลเมตร

ทรงกำลังขับรถเล่นกับพันเอกอร่าม รัตนกุล สามีของเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา(พัน เอกอร่ามเป็นพี่เขยของในหลวงภูมิพล) สันนิษฐานว่าทรงขับเร็ว ( ปีถัดมา เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนาทรงหย่ากับอร่าม รัตนกุลซึ่งอาจมีสาเหตุมาจากอุบัติเหตุครั้งนี้)

สื่อ มวลชนไทยรายงานอุบัติเหตุครั้งนี้ว่าแทบจะเป็นหายนะของประเทศ เนื่องด้วยสายเลือดราชวงศ์จักรีเหลือน้อยลงไปทุกที ในหลวงภูมิพลได้รับบาดเจ็บมาก มีการบาดเจ็บที่หลัง(พระปฤษฎางค์ หรือพระขนอง) พระพักตร์เป็นแผลจนพระเนตรข้างหนึ่งมองแทบไม่เห็น(ข่าวว่าพระเนตรขวาบอดสนิท ต้องใส่ตาปลอม) ครอบครัวกิติยากรทุ่มเทอย่างมาก โดยส่งทั้งมรว.สิริกิติ์และมรว.บุษบารุดมาจากลอนดอนเพื่อ ช่วยพระชนนีศรีสังวาลย์ถวายการดูแลในหลวงภูมิพล มรว.สิริกิติ์รั้งอยู่ต่อ โดยสมัครเข้าเรียนสถาบันการศึกษาแห่งหนึ่งที่โลซานน์ กล่าวกันในภายหลังว่าตอนในหลวงภูมิพลทรงฟื้นหลังอุบิตเหตุ ทรงถามหาแต่พระราชชนนีและมรว.สิริกิติ์

การ รักษาพยาบาลพระเนตรของในหลวงทำให้การเสด็จกลับต้องเลื่อนออกไป รัฐบาลชุดนิยมเจ้าได้จัดสรรงบประมาณไว้เพื่อการนี้ถึง 40 ล้านบาทซึ่งรวมถึงรถเดมเลอร์คันใหม่สำหรับพระมหากษัตริย์ กำหนด การนี้ยังเลื่อนออกไปอีกเพื่อให้ความสัมพันธ์ระหว่างในหลวงและมรว.สิริกิติ์ ได้เจริญงอกงาม การผูกมัดพระทัยและเจรจาดำเนินไปอย่างรวดเร็ว วันที่ 19 กรกฎาคม 2492 ทั้งสองพระองค์ทรงหมั้นอย่างเงียบๆ ที่โรงแรมวินด์เซอร์ในเมืองโลซานน์

สามสัปดาห์หลังจากนั้น มีการประกาศอย่างเป็นทางการในงานเลี้ยงวันเกิดครบ 17 ปีของมรว.สิริกิติ์ที่ลอนดอน โดยในหลวงภูมิพลทรงเล่นเปียโนเดี่ยว และเป่าแซ็กโซโฟนร่วมกับวงดนตรี ทรงประทานแหวน (ตามแบบตะวันตก) แก่มรว.สิริกิติ์ ซึ่งเป็นแหวนวงเดียวกับที่พระราชบิดาได้ใช้หมั้นนางสาวสังวาลย์เมื่อสามสิบ ปีก่อน

ข่าวการหมั้นได้สร้างความตื่นเต้นให้แก่ประเทศไทยมาก มีกำหนดเสด็จนิวัติพระนคร ต้นปี 2493 โดยจะมีการพระราชทานเพลิงพระบรมศพ พระราชพิธีภิเษกสมรส และพระราชพิธีราชาภิเษกตาม ลำดับอย่างต่อเนื่อง ด้วยการมีรัฐธรรมนูญฉบับนิยมเจ้าอยู่แล้ว งานพระราชพิธีจะยิ่งใหญ่มโหฬารยาวนานถึงสองเดือนเพื่อเฉลิมฉลองสถาบันพระมหา กษัตริย์และชัยชนะที่มีเหนือผู้ก่อการ คณะราษฎร 2475

หลังจากการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ 2492 จอมพลป.และขุนทหารก็จ้องที่จะชิงความได้เปรียบในการเลือกตั้ง โดยอธิบดีกรมตำรวจพล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์จัดการสังหารและข่มขู่นักการเมืองฝ่ายตรงข้าม มีการซื้อตัวสส.ที่ไม่สังกัดพรรค กลุ่มของจอมพลป.จึงได้เสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร


แต่พรรคประชาธิปัตย์และฝ่ายเจ้ายังคงครอบงำวุฒิสภาอยู่ จอมพลป.จึงไม่สามารถรวบอำนาจได้ทั้งหมด พระองค์เจ้ารังสิตผู้สำเร็จการแทนพระองค์ได้ปฏิเสธคำขอที่จะเป็นองคมนตรีของจอมพลป.อีกครั้งหนึ่ง

สหรัฐอเมริกายังคงมีนโยบายให้ไทยเป็นพันธมิตรแนวหน้าในสงครามเย็น ในปี 2491 หน่วยข่าวกรองของสหรัฐ(ซีไอเอ) เริ่มติดอาวุธและฝึกฝนตำรวจตระเวนชายแดน ซึ่ง เป็นกองทัพของพล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ ความสัมพันธ์นี้กระชับแน่นขึ้นเมื่อพรรคคอมมิวนิสต์จีนยึดอำนาจได้ในปี 2492 เหล่านายพลได้พิสูจน์ตนในการต่อต้านคอมมิวนิสต์ด้วยการใช้นโยบายโฆษณาชวน เชื่อของสหรัฐฯ และสังหารผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นฝ่ายซ้าย

กลางปี 2492 ทีมงานซีไอเอมาถึงกรุงเทพฯฝึก ตำรวจตระเวนชายแดนเพื่อให้การสนับสนุนพลพรรคก๊กมินตั๋งอย่างลับๆในการสู้กับ คอมมิวนิสต์จีนตามแนวชายแดนพม่า-จีน ปลายปีเดียวกันสหรัฐฯสนับสนุนอาวุธและการฝึกทางทหารแก่กองทัพไทยทั้งให้ความ ช่วยเหลือทางเศรษฐกิจแก่ไทย

สิ่ง ที่เรียกกันว่าภัยคอมมิวนิสต์กับการสนับสนุนจากสหรัฐฯสร้างความชอบธรรมให้ กับการกุมอำนาจการเมืองของทหารในอีกสี่สิบปีต่อมา แต่สหรัฐก็ยังมองว่าพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลเป็นตัวเชิดที่มีประโยชน์ในการต่อสู้กับคอมมิวนิสต์ ทรงถูกทำให้เป็นสัญลักษณ์ทรงพลังอันหนึ่งในสงครามเย็น และสหรัฐฯ ก็กลายมาเป็นผู้ค้ำจุนราชบัลลังก์

แต่ พระเจ้าอยู่หัวเองไม่ได้อุ่นพระทัยเท่าใดนัก ระหว่างที่เสด็จนิวัติพระนครบนเรือพระที่นั่งต้นปี 2493 ขณะมีพระชนมายุ 22 ชันษา แม้จะมีพระราชินีสิริกิติ์ แต่ผู้ที่เป็นกำลังใจหลักๆ ของพระองค์หายไปหมดแล้ว พระ เชษฐาอานันทมหิดลก็สิ้นพระชนม์ไปแล้ว พระเชษฐภคนีกัลยาณิวัฒนาทรงปักหลักอยู่สวิตเซอร์แลนด์พร้อมพระธิดา พระราชชนนีก็ประชวรจนไม่สามารถร่วมเสด็จ

สิบสัปดาห์ที่ในหลวงภูมิพลประทับอยู่ในเมืองไทยนับเป็นชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของพระราชวงศ์จักรี



ทรงได้รับการต้อนรับแห่แหนสมกับทรงเป็นพระมหากษัตริย์อันเป็นที่รักที่ห่างหายไปนาน สามวันก่อนเสด็จนิวัติพระนครได้เกิดเหตุการณ์ที่บรรดาโหรถือว่าเป็นลางดี มีลูกเห็บตกในกรุงเทพฯ เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2476 รัฐบาลได้ใช้เวลาหลายสัปดาห์ในการค้นหาช้างเผือก และในวันที่เสด็จมาถึงก็ได้รับการประกาศให้เป็นวันหยุด และมีการจัดเตรียมฝูงเครื่องบินเจ็ทจากเรือบรรทุกเครื่องบินสหรัฐฯ ที่ลอยลำอยู่ใกล้ๆ ให้บินมาเหนือท้องฟ้ากรุงเทพฯ เพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติ

ครั้นพอเสด็จมาถึงก็ทรงได้รับการถวายกระบี่ทองคำอันเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นประมุข ทุกเหล่าทัพต่างได้กราบบังคมทูลถวายยศสูงสุดแก่พระองค์ โรงกษาปน์ ได้ผลิตเหรียญรุ่นใหม่ที่มีพระบรมฉายาลักษณ์ในหลวงภูมิพล เมื่อเสด็จก้าวขึ้นฝั่ง เครื่องบินก็โปรยข้าวตอกดอกไม้ไปทั่วกรุง หลังจากได้รับการถวายการต้อนรับจากรัฐบาลแล้ว ก็เสด็จไปพระบรมมหาราชวังเพื่อทรงจุดเทียนถวายสักการะพระแก้วมรกตและพระสยาม เทวาธิราช จากนั้นก็เสด็จไปสักการะสมเด็จพระบุรพกษัตราธิราชและโกศทองคำที่บรรจุพระบรม ศพในหลวงอานันท์

เช้าวันถัดมา ในหลวงพร้อมด้วยพระราชินีสิริกิติ์ทรงทำบุญถวายแด่พระสงฆ์ 64 รูปที่พระตำหนักจิตรลดารโหฐานอัน จะเป็นที่ประทับของทั้งสองพระองค์ โดยมิได้เสด็จกลับไปหาความทรงจำเปื้อนเลือดที่พระที่นั่งบรมพิมานอีก ทรงนำเหล่าเชื้อพระวงศ์และพระสงฆ์ เสด็จพระราชดำเนินทักษิณาวรรตรอบพระที่นั่งอมรินทราวินิจฉัย จบด้วยพิธีชำระล้างพระบาทและรองพระบาทเท้า และยังได้เสด็จเป็นประธานในพิธีต่างหากของฝ่ายมหายานร่วมกับพระจีนและพระญวน

27 มีนาคม 2493 เริ่มพิธียกฉัตรเก้าชั้นเหนือพระเมรุของพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ(ในหลวง อานันท์)ที่สนามหลวง มีการพระบรมโองการเพื่อจัดขบวนในพระราชสำนักใหม่ โดยพระองค์เจ้ารังสิตลงจากตำแหน่งผู้สำเร็จราชการฯ มาเป็นประธานองคมนตรี โดยมีพระองค์เจ้าธานีนิวัติ(กรมหมื่นพิทยลาภพฤฒิยากร)เป็นรองประธาน

เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนาผู้ที่จำต้องสละฐานันดรเมื่อห้าปีก่อนเพราะไปแต่งงานกับสามัญชน ก็ได้คืนสถานะเดิมเนื่องจากทรงหย่าแล้ว หม่อมเจ้านักขัตรพระบิดาของพระราชินีได้รับการเลื่อนชั้นเป็นพระองค์เจ้า และได้เป็นนายพล



วัน ที่ 30 มีนาคม 2493 ในหลวงภูมิพลและพระสังฆราชได้เสด็จพระดำเนินนำพระบรมวงศานุวงศ์ นายทหารและเจ้าหน้าที่รัฐบาลระดับสูง ตลอดจนพระ พราหมณ์อัญเชิญพระโกศบรรจุพระบรมศพในหลวงอานันท์ไปยังพระเมรุสนามหลวงท่ามกลางสายตาของประชาชนสองข้างทางนับแสนคน

พระเมรุถูกจัดสร้างลดหลั่นเป็นชั้นๆ เลียนแบบเขาพระสุเมรุ อันเป็นที่สิงสถิตของเหล่าทวยเทพเทวดาของฮินดู ในหนังสืองานพระบรมศพในหลวงอานันท์ ทรงโปรดให้พิมพ์ประวัติของสมเด็จพระนเรศวร เพื่อแสดงให้เห็นว่าราชวงศ์จักรีสืบสายโลหิตจากสมเด็จพระนเรศวรมหาราช และได้เสด็จกลับมาอีกครั้งในตอนบ่ายเพื่อทำพิธีจุดไฟถวายพระบรมศพ ทรงนำพระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชบริพารนับร้อยวางเทียนใต้โกศ

จากนั้น ในตอนดึกจึงเสด็จพร้อมพระประยูรญาติและพระสงฆ์เพื่อจุดไฟถวายพระเพลิงพระบรมศพจริง โดยมีการนำพระสรีระของในหลวงอานันท์ออกจากโกศและวางอยู่ในโลงไม้จันทน์ วันถัดมาจึงเสด็จมาเก็บพระอัฐิเพื่อนำไปประดิษฐานยังวัดหลวงและท้องพระโรงที่สงวนไว้สำหรับพระมหากษัตริย์โดยเฉพาะ

มีงานพระราชทานเพลิงศพเจ้านายอีกสองงานที่สนามหลวง คือ

เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธ์ (ที่สิ้นพระชนม์ปี 2487 ขณะถูกจอมพลป.เนรเทศ) และกรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์



6 เมษายน 2493 เป็นวันจักรี สมเด็จพระราชินีสิริกิติ์ผู้ทรงพระศิริโฉมงดงามได้เป็นจุดศูนย์รวมความสนใจ ขณะที่ทั้งสองพระองค์เสด็จเปิดงานกาชาดที่กินเวลาสามวัน และสัปดาห์ถัดมา ทั้งสองพระองค์ก็เสด็จไปร่วมงานพิธีต่างๆ เนื่องในเทศกาลสงกรานต์ พิธีอภิเษกสมรสค่อนข้างเป็นส่วนพระองค์และเอิกเกริกน้อยกว่า หลังจากทรงจ่ายค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนสมรส 10 บาท

ในตอนเช้าวันที่ 28 เมษายน 2493 ก็ทรงเสด็จไปยังวังสระปทุม เพื่อรับการถวายน้ำสังข์สมรสศักดิ์สิทธิ์ที่ปลุกเสกมาแต่สมัยรัชกาลที่ 1 จากพระนางเจ้าสว่างวัฒนา


ใน ตอนบ่ายก็เป็นงานพระราชพิธีเปิดโดยจัดขึ้นที่พระบรมมหาราชวัง โดยมีสมาชิกสภาและจอมพลป.เข้าร่วมเป็นสักขีพยาน ในตอนท้ายพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลพระราชทานเครื่องราชย์มหาจักรีแก่พระราชินีสิริกิติ์ ยกฐานะเป็นราชินี


เครื่องราชย์มหาจักรีมีเพชร 750 เม็ดประดับด้วยทองคำ ซึ่งรัฐบาลรับผิดชอบค่าใช้จ่าย ตามประเพณีคู่บ่าวสาวจะต้องพำนักอยู่ในพระบรมมหาราชวังเป็นเวลาสามคืน แต่ในหลวงภูมิพลอาจจะยังคงมีความทรงจำถึงกรณีสวรรคตของในหลวงอานันท์ จึงประทับอยู่เพียงหนึ่งคืน จากนั้นทั้งสองพระองค์ก็เสด็จไปประทับยังวังไกลกังวลที่หัวหินเป็นเวลาสี่ วัน

พระราชพิธีราชาภิเษกวันที่ 4-5 พฤษภาคม 2493 ส่วนใหญ่เป็นพิธีกรรมฮินดูภายในราชสำนักตามธรรมเนียมลัทธิเทวราช ประกอบด้วยพิธีสรงน้ำกษัตริย์ ด้วยน้ำที่นำมาจากสถานที่สำคัญหลายแห่ง

ตามด้วยการเจิมโดยพระองค์เจ้ารังสิตในฐานะตัวแทนราชวงศ์และโดยพระสังฆราชเจ้ากรมหลวงวชิรญาณวงศ์ จาก นั้นพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลก็ทรงสวมชุดพระมหากษัตริย์และเสด็จขึ้นประทับบน บัลลังก์แปดด้านยกสูงโดยแต่ละด้านแทนทิศต่างๆ ของพระราชอาณาจักรของพระองค์ ทรงรับการถวายพระพรจากแต่ละด้านโดยพราหมณ์หลั่งน้ำมนต์จากสถูปศักดิ์สิทธิ์ 18 แห่ง จากนั้นประธานวุฒิสภาในฐานะตัวแทนประชาชนก็กล่าวถวายความจงรักภักดี

ต่อมาในหลวงภูมิพลก็ทรงย้ายไปประทับยังอีกบัลลังก์หนึ่งภายใต้นพปฎลเศวตฉัตรเก้าชั้น เหล่าพราหมณ์ถวายเครื่องราชกกุฏภัณฑ์ อันมี มงกุฎทองคำรูปกรวย ดาบและคทา แส้ทำจากขนหางช้างเผือก พัด รองเท้าแตะทองคำ และแหวนสองวง


พราหมณ์คุกเข่า สวดมนต์ภาษาสันสกฤต อัญเชิญทวยเทพฮินดูให้ลงมาประทับยังร่างของพระมหากษัตริย์ ทรง หลั่งน้ำมนต์จากคนโทเล็กๆ ทรงสวมมงกุฎ ทรงกล่าวปฏิญาณที่จะครองแผ่นดินโดยธรรม พร้อมกับโปรยดอกไม้เงินดอกไม้ทองลงบนพื้น เป็นสัญลักษณ์ของการแผ่ความดีงามไปทั่วพระราชอาณาจักรของพระองค์

พิธีกรรมอื่นๆ เช่นการอ่านคำพยากรณ์และประทับนอนบนพระแท่นเป็นเวลาสองชั่วโมงก็ได้ชุบพระองค์ให้เป็นเทวราชาโดยสมบูรณ์ หลังจากนั้นสองวัน พระเจ้าอยู่หัวภูมิพลประทับเบื้องหน้าพสกนิกร วงมโหรีปี่พาทย์และปืนใหญ่ยิงสลุต


ทรงประกาศว่าจะยึดมั่นต่อประชาชนชาวสยาม และจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยามเสด็จ พระราชทานปริญญาบัตรแก่ผู้สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยและมหาวิทยาลัย รวม 7 แห่ง ทรงพระราชทานยศและเครื่องราชย์แก่ตำรวจและทหารระดับสูง ทรงแต่งตั้งให้หลายคนเป็นองครักษ์กิตติมศักดิ์ ทรงเป็นประธานในพิธีสำคัญทางศาสนา และพระราชทานอภัยโทษแก่นักโทษ 2,000 คนเนื่องในวโรกาสขึ้นครองราชย์

เสด็จเปิดอนุสาวรีย์สมเด็จพระราชบิดากรมหลวงสงขลานครินทร์ที่โรงพยาบาลศิริราชในฐานะพระบิดาแห่งการแพทย์สมัยใหม่ ทรงบริจาคเงินหลายแสนบาทให้กับโรงเรียนแพทย์ ซึ่งภายหลังมีชื่อว่ามหาวิทยาลัยมหิดล(โดยรวมโรงพยาบาลศิริราชกับรามาธิบดี)

ทรงบริจาคอีก 88,000 บาทมอบให้โรงพยาบาลแห่งใหม่ของกองทัพอากาศ คือโรงพยาบาลภูมิพล ทรงบริจาควัคซีนวัณโรค เป็นการส่วนพระองค์ อีก 3 กิโลกรัมให้กับกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งวัคซีนจำนวนนี้รับมาจากชาวสวิสแต่ในหลวงทรงได้อานิสงค์ผลบุญ ขณะเดียวกัน พระราชินีสิริกิติ์ก็ทรงเป็นผู้อุปถัมภ์หรือสภานายิกาสภากาชาดและมูลนิธิคน ตาบอด

การโหมโฆษณาสรรเสริญสถาบันกษัตริย์ดำเนินไปอย่างเข้มข้น เพลงพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลได้ถูกนำไปบรรเลงโดยวงออเคสตราของรัฐบาลและมหาวิทยาลัย


พระ อัจฉริยภาพในการพระราชนิพนธ์เพลงของพระองค์ได้รับการยืนยันด้วยรายงานข่าว ที่ว่า มีเพลงพระราชนิพนธ์ห้าเพลงจะถูกนาไปประกอบละครบรอดเวย์เรื่อง ถ้ำมอง (Peep Show) โดยผู้สร้างชื่อดัง ไมเคิ้ล ทอดด์(Michael Todd)(ผู้สร้างภาพยนต์ยอดเยี่ยม 80 วันรอบโลก รางวัลออสการ์ ปี1957หรือ 2500)


ในหลวงภูมิพลทรงประกาศยกค่าลิขสิทธิ์ให้กับการกุศล ละครเพลงเรื่องถ้ำมอง (Peep Show) เปิดการแสดงเมื่อต้นเดือนมิถุนายน 2493 ท็อดด์ตั้งใจนำเพลงพระราชนิพนธ์ไปใช้เพื่อการโฆษณาละครของเขา แต่ในตอนหลังเพลงพระราชนิพนธ์ถูกตัดออกไปเกือบทั้งหมดยกเว้นเพลง Blue Day (อาทิตย์อับแสง) แต่สำหรับประชาชนไทยแล้ว ถึงอย่างไรก็ยังเป็นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของพระราชวงศ์จักรีอยู่ดี

ในเดือนมีนาคม 2493 กษัตริย์ลีโอโปลด์ที่สามแห่งเบลเยี่ยม(King Leopold III)ทรง ชนะการลงประชามติที่จะสถาปนาพระองค์ขึ้นมาใหม่อย่างฉิวเฉียด(เนื่องจากทรง ถูกกล่าวหายอมจำนนต่อเยอรมันและต้อนรับพวกนาซี) หลังจากใช้เวลาอีกสามเดือนด้วยความยากลำบากในการให้สภาเห็นชอบกับการสถาปนา และทรงสละราชบัลลังก์ให้เจ้าชายโบดวง(Prince Baudouin)พระราชโอรส


ในหลวงภูมิพลได้ทรงเห็นเป็นบทเรียนแล้ว่าการปล่อยให้มีการแสดงความเห็นในเรื่องที่เกี่ยวกับอำนาจกษัตริย์นั้นเป็นเรื่องที่มีอันตรายมากและจะยอมไม่ได้เด็ดขาดแม้แต่น้อย


กรณีสวรรคตของในหลวงอานันท์ก็ ยังมีการไต่สวนดำเนินคดีไปตลอดระยะเวลาที่ในหลวงภูมิพลประทับอยู่ในเมืองไทย สื่อมวลชนเสนอข้อมูลและข่าวลือใหม่ๆอย่างแข็งขัน นายควง อภัยวงศ์ มรว.คึกฤทธิ์ จอมพลป.พล.ต.อ. เผ่า ศรียานนท์และแม้แต่พระสังฆราชต่างให้การปรักปรำนายปรีดี


ต้นเดือนพฤษภาคม 2493 ตำรวจที่ได้รับการแต่งตั้งให้รับผิดชอบการสืบสวนคดีโดยรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม มรว.เสนีย์ ปราโมช ก็ คือพล.ต.อ.พระพินิจชนคดี (พินิจ อินทรทูต สามีของมรว.บุญรับ ปราโมช)ข้าราชการบำนาญ ซึ่งเป็นพี่เขยของมรว.เสนีย์และมรว.คึกฤทธิ์เอง ได้เบิกตัวพยานที่อ้างว่าได้รับการว่าจ้างจากนายปรีดีให้ปลงพระชนม์ในหลวง อานันท์ ความจริงปรากฏภายหลังว่าพยานรายนั้นเป็นเพื่อนของพระพินิจชนคดีเอง

พระเจ้าอยู่หัวภูมิพลทรงให้การต่อศาลเป็นเวลาสองวันในพระตำหนักสวนจิตรลดา เช่น เดียวกับการให้การครั้งก่อนๆ ทั้งภายหลังเกิดเหตุและที่โลซานน์ โดยทรงหลีกเลี่ยงที่จะออกความเห็นไปทางใดทางหนึ่ง แต่ทรงให้ข้อมูลเพียงพอที่จะเอาผิดนายปรีดี คือ นายปรีดี ได้มีปากเสียงกับในหลวงอานันท์

ถือสิทธิใช้รถยนต์พระที่นั่งของพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 8(ขณะที่นายปรีดี เป็นผู้สำเร็จการแทนพระองค์) และนายเฉลียว ปทุมรสต้องถูกออกจากราชเลขาธิการไปอย่างอัปยศ คือทรงให้การในทางที่ไม่เป็นผลดีต่อตัวนายปรีดีเลย (ซึ่งไม่เกี่ยวกับการปลงพระชนม์แม้แต่น้อย เป็นแค่การพยายามกล่าวหาให้ร้าย)

นอกจากนี้ ภัยคุกคามจากคอมมิวนิสต์ทั้งที่เป็นของจริงและที่เกิดจากสร้างภาพก็เติบโตมากขึ้นเมื่อพรรคคอมมิวนิสต์จีนสามารถบุกยึดกรุงปักกิ่ง ได้ ปกครองจีนทั้งประเทศ ฝ่ายซ้ายหรือพวกแนวสังคมนิยมและคอมมิวนิสต์ก็ดำเนินการการสังหารศัตรูทางการ เมืองในสิงคโปร์ มาเลเซียอินโดนีเซียและเวียตนาม รัฐบาลสหรัฐที่วอชิงตันได้บอกรัฐบาลที่กรุงเทพฯ ว่า ไทยอาจจะเป็นโดมิโนหรือตัวลูกระนาดตัวต่อไป

แม้ว่าจะมีภัยคอมมิวนิสต์อยู่ในประเทศรอบข้าง แต่ภัยคอมมิวนิสต์ในประเทศไทยขณะนั้นปรากฏมีหลักฐานน้อยมาก เดอะเนชั่นThe Nation ฉบับวันที่ 25 ธันวาคม 2491 รายงานว่าจอมพลป.อ้างภัยคอมมิวนิสต์เพียงเพื่อค้ำยันสถานะตนเองเท่านั่น เมื่อ จอมพลป.ถูกนักข่าวเดอะเนชั่นถามคาดคั้นเอา จอมพลป.ก็ยอมรับว่า อันที่จริง ไม่มีคอมมิวนิสต์ในประเทศไทย หนังสือพิมพ์นิวรีพับลิค New Republic ของสหรัฐ ฉบับวันที่ 31 ตุลาคม 2492 เขียนถึงภัยที่โฆษณาเกินจริงนี้ว่า กรุงเทพฯ ธงแดงมีอยู่เต็มไปหมด แต่เป็นธงของร้านเหล้าของรัฐบาล

นิตยสารฉบับนี้บอกว่าปัญหาทางการเมืองสำคัญๆ ในไทยก็คือการอ้ำอึ้งไม่เต็มพระทัยที่จะเสด็จกลับประเทศไทยของในหลวงภูมิพล ใน ขณะเดียวกัน ไทยกลับถูกฝรั่งเศสกล่าวหาว่าให้การสนับสนุนเวียดมินห์ของโฮจิมินห์ในการต่อ ต้านจักรวรรดินิยม ซึ่งรัฐบาลไทยเรียกว่าเป็นการตอสู้เพื่อเอกราช

นายปรีดีในขณะนั้นถูกตีตราว่าเป็นนายหน้าของจีน มี รายงานว่ากำลังส้องสุมกำลังในภาคอิสาน ทำให้ราชสำนัก พรรคประชาธิปัตย์ แล้วเหล่าขุนทหารต้องขยับใกล้ชิดกันมากขึ้น และราชสำนักก็ต้องยอมยกอำนาจบางส่วนให้แก่กองทัพ

ก่อนพระราชพิธีราชาภิเษก ทรงลงพระปรมาภิไธยในกฎหมายต่อต้านคอมมิวนิสต์สองฉบับ ให้ อำนาจรัฐบาลในการเคลื่อนย้ายกำลังพลในกรณีเกิดการลุกฮือของคอมมิวนิสต์ และให้อำนาจในการประกาศกฎอัยการศึก พระองค์ทรงกลายเป็นผู้ร่วมรบในศึกคอมมิวนิสต์

รัฐบาลประธานาธิบดีทรูแมน(Harry S. Truman)ในวอชิงตันอนุมัติโครงการขยายความช่วยเหลือแก่ไทยโดยทันที เป็นเงินก้อนแรก 10 ล้านเหรียญสหรัฐฯสำหรับกองทัพไทย


พระราชพิธีสุดท้ายก่อนเสด็จกลับสวิสคือทรงเปิดสภาในวันที่ 1 มิถุนายน 2493 เป็นวาระพิเศษเพื่อแสดงพันธะและฐานะอันสูงส่งของสถาบันกษัตริย์ต่อฝ่ายนิติบัญญัติ ทรงฉลองพระองค์ในชุดจอมพล มีพระราชดำรัสเตือนถึง ความขัดแย้งทางอุดมการณ์ ที่ไม่แน่นอนและน่ากังวลในโลกและประเทศเพื่อนบ้าน แต่ทรงบอกว่าไทยดูดีกว่ามากและยังมีลู่ทางแจ่มใสแสดงให้เห็นว่าพระองค์ทรง เป็นกษัตริย์ที่ตื่นพระองค์เอาพระทัยใส่และมีสายพระเนตรกว้างไกล

ไม่แน่ชัดเจนว่าเหตุใดพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลจึงต้องเสด็จกลับไปสวิสเซอร์แลนด์อีก ฝ่ายเจ้าอาจต้องการกำจัดจอมพลป.และผู้ก่อการ 2475 ที่ยังเหลืออยู่ให้สิ้นอำนาจก่อนที่ในหลวงจะเสด็จขึ้นครองราชบัลลังก์อย่างถาวรหรืออาจต้องการให้จบสิ้นคดีสวรรคตเสียก่อน โหร ในราชสำนักเลือกวันที่ 6 มิถุนายนเป็นวันเสด็จกลับสวิส และพระองค์เจ้ารังสิตได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์อีก ครั้งหนึ่ง

ในหลวงภูมิพลทรงใช้เวลา 18 เดือนสุดท้ายในต่างประเทศเหมือนหนุ่มฐานะดีที่เพิ่งแต่งงานทั่วไป หลังเสด็จกลับถึงโลซานน์ได้ไม่นาน ราชินีสิริกิติ์ก็ตั้งพระครรภ์ ระหว่างนั้นทั้งสองพระองค์เสด็จประพาสทั่วยุโรป ทรงร่วมงานปาร์ตี้ชมคอนเสิร์ตภาพยนตร์และการแสดงต่างๆ

ในหลวงภูมิพลทรงเลิกเรียนมหาวิทยาลัย ขณะ ที่รับภาระงานเอกสารราชสำนักภายใต้การชี้แนะของพระองค์เจ้ารังสิตและ องคมนตรี ในวันขึ้นปีใหม่ 1 มกราคม 2494 ทรงบันทึกเสียงลงเทปเพื่อนำไปออกอากาศทางวิทยุและกลายเป็นแบบฉบับในการเรียก ร้องความสามัคคีและความสงบสุข

ทรงกล่าวถึงสถานการณ์ในเอเชียที่ขมึงตึงมากขึ้นเรื่อยๆ ว่า ประวัติศาสตร์บอกเราว่า ชาติจะสิ้นสลายเมื่อคนในชาติขาดความสามัคคี แตกแยก แก่งแย่งซึ่งกันและกัน ทรงขอให้ประชาชนไทยรำลึกบุญคุณของบรรพบุรุษที่ได้ร่วมแรงร่วมใจกันและพร้อมเสียสละเพื่อประโยชน์ของชาติ

พระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช นับเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรง พระอุตสาหวิริยะบากบั่นก่อร่างสร้างพระองค์ขึ้นมาเอง ไม่แพ้พระอัยกาหรือเสด็จปู่ รัชกาลที่ 5 ที่ได้ทรงสถาปนาระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์รวมศูนย์อำนาจอยู่ที่พระมหา กษัตริย์ แต่พระนัดดาหรือหลานปู่ของรัชกาลที่ 5 พระผู้ทรงพระนามว่าพลังแผ่นดินอำนาจที่มิอาจต้านทานได้ทรงมีพระปรีชาสามารถไม่แพ้กันจากการสถาปนาระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์รูปแบบใหม่ภายใต้รัฐธรรมนูญ ที่พยายามโฆษณากันว่าเป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข..........

จาก http://sanamluang2008.blogspot.com/2009/11/009021.html

11 ความคิดเห็น:

  1. ทรงพระเจริญ เรารักในหลวง พระองค์คือพระมิ่งขวัญของปวงชนชาวไทยทุกคน คนไทยมีวันนี้ได้ก็เพราะพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ ขอให้ทุกพระองค์ทรงพระเจริญด้วยอำนาจ และพระบารมี ยิ่งๆขึ้นไป

    ตอบลบ
  2. หนูรักในหลวงค่ะ

    ตอบลบ
  3. ขอพระองค์ทรงพระเจริญ และหายจากประชวรโดยเร็ววัน สาธุ

    ตอบลบ
  4. บทความนี้มีหลายข้อความเสียดสีแดกดันสถาบันกษัตริย์นะคะ!!

    ตอบลบ
  5. เพราะคุณเกลียดชังในหลวง คุณจึงเขียนบทความออกมาเป็นแบบนี้
    ไม่มีใครเชื่อคุณหรอก ในหลวงทำประโยชน์ให้ประชาชนมามาก คนทั้งประเทศรักในหลวง

    ตอบลบ
  6. คือถ้าจะอวยปรีดี (ที่ความจริงไม่ได้ถูกปรักปรำ แต่เป็นเรื่องจริง) ก็ไม่เขียนยกยอปรีดีไปเลยละ มาเขียนถึงในหลวงท่านทำไม อ่านแล้วรู้สึกถึงความแดกดัน แฝงความไม่ชอบจากสันดานกมลมากๆ

    #ปรีดี คือ วีรบุรุษหรือผีห่าซาตาน ศึกษาดีๆ อย่าคิดแค่ว่าฟังเขาเล่ามา
    #ในหลวง ทรงทำเพื่อประชาชนเท่าไหร่ ประจักษ์อยู่ในสายตาคนไทยดีอยู่แล้ว ไม่ต้องไปฟังใครเล่าๆ มาหรอก

    ตอบลบ
  7. อ่านแล้วรู้สึกเสียดายเวลาผู้เขียนไม่มีความเป็นกลาง...

    ตอบลบ
  8. กูอ่านดูแล้ว มึงนี่ ลิเบอร่าน ชัดๆๆๆ 5555 เสียเวลา 10นาทีกู จริงๆๆๆ วะ เขียนเลียปรีดี ที่ ยึดอำนาจ ร.7 กะโหลดชิบหายเลย

    ตอบลบ
  9. ในหลวงไม่มีวันทำแบบที่เขียนมาแน่นอนแค่คำกล่าวหาของพวกขี้อิจฉาและจิตใจสกปรก 70ปีที่เราเห็นคือความจริงและพระองค์คือคนที่ดีสุดเท่าที่จะมีมนุษย์คนใดดีได้

    ตอบลบ
  10. ใครเป็นคนเขียนนะนี่ มันน่าเอาไปฆ่ายิ่งนัก
    เขียนประชดประชันในหลวงร.9 ตลอดเรื่อง
    ขอสาปแช่งให้ชีวิตมันคนเขียนนี่พบแต่ความทุกข์ โรคภัย และอันตราย

    ตอบลบ
  11. หนูรักในหลวง เพราะในหลวงมีความรักต่อประชาชนและประเทศชาติอย่างแท้จริง
    ผู้ใดคิดร้ายจะไม่มีวันพบความเจริญจริงๆ ประเทศชาติเป็นสิ่งศักด์สิทธิ์ ผู้ใดย่ำยีต้องได้รับผลกรรมเข้าสักวัน

    ตอบลบ