กรมศิลป์ลุยเต็มสูบลงพื้นที่ เบื้องต้นการันตีวัดเอียงเมืองปีซ่า จังหวัดนนทบุรี ไม่ถล่มแน่นอน พร้อมขอ 1 ปีพิสูจน์ พร้อมเตรียมทำป้ายประชาสัมพันธ์ในการดำเนินการ วอนวัดและประชาชนอย่าตกใจ ขอบคุณไทยรัฐออนไลน์ช่วยเหลือ...
หลัง จากทีมข่าวไทยรัฐออนไลน์ นำเสนอ เรื่องพระมหาเจดีย์ และอุโบสถ ของวัดเขมาภิรตาราม หรือฉายาที่ชาวบ้านเรียกกันว่า "วัดหอเอียงเมืองปีซ่า" แห่งจังหวัดนนทบุรี ว่ามีสภาพเอียงใกล้ล้ม ล่าสุด นายประทีป เพ็งตะโก ผู้อำนวยการสำนักศิลปากรที่ 2 จังหวัดสุพรรณบุรี และทีมวิศวกรโยธา ของกลุ่มวิชาการอนุรักษ์โบราณสถาน สำนักโบราณคดี โดยได้รับประสานงานจาก นายธราพงศ์ ศรีสุชาติ ผู้อำนวยการสำนักโบราณคดี กรมศิลปากร ลงพื้นที่พร้อมกับทีมข่าวไทยรัฐออนไลน์เพื่อไปตรวจสอบพระมหาเจดีย์และอุโบสถ เก่าแก่ของ “วัดเขมาภิรตาราม”

นายประทีป เพ็งตะโก ผู้อำนวยการสำนักศิลปากรที่ 2 จังหวัดสุพรรณบุรี กล่าวว่า ขั้นตอนแรกทางวิศวกรจะเจาะสำรวจชั้นดินเบื้องต้นทั้ง 4 ด้านของฐานพระมหาเจดีย์ว่าแต่ละด้านแตกต่างกันหรือไม่ และจะติดมาร์กที่องค์เจดีย์ตรวจวัดทั้งทางรอบและทางดิ่ง 2-3 เดือนต่อครั้งว่า เอียง-ทรุดเท่าไร จนกระทั่ง 1 ปีมาดูค่าระดับการเอียงดูลักษณะดินใต้ฐานทั้ง 2 ทิศทางว่าเป็นอย่างไร ถ้ามีข้อบ่งชี้ชัดเจนว่าต้องซ่อมแซม เช่น ปรับปรุงดินฐานราก โดยการฉีดซิเมนต์เข้าไป หรือทำการจัดสมดุลย์บังคับในส่วนที่รับน้ำหนักให้อยู่ในพื้นที่จำกัด

นายวิชัย เวทรังสิการ
ด้านนายวิชัย เวทรังสิการ วิศวกรโยธาของกลุ่มวิชาการอนุรักษ์โบราณสถาน สำนักโบราณคดี ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบในการซ่อมแซมโบราณสถาน ยกตัวอย่างเพื่อเทียบเคียงกับการเอียงของวัดเขมาภิรตาราม ว่า ที่วัดใหญ่ชัยมงคล จ.พระนครศรีอยุธยา หรือดอยสุเทพ ก็มีลักษณะเอียงแบบนี้เหมือนกันพอเจาะแล้วรู้ว่าด้านไหนอ่อน-แข็งแล้วก็ใช้ การอัดฉีดปูนซิเมนต์เพื่อปรับสภาพดิน นอกจากนี้ยังมีการแก้ไขอีกหลายวิธี ซึ่งขั้นตอนดังกล่าวจะทำเมื่อมั่นใจแล้วว่าเจดีย์เอียง
ส่วนนาย ประทีป เพ็งตะโก ผู้อำนวยการสำนักศิลปากรที่ 2 จังหวัดสุพรรณบุรี เจ้าของพื้นที่ที่ควบคุมดูแลวัดเขมาภิรตารามกล่าวว่า ขอให้ประชาชนมั่นใจได้ว่าหลังจากวันนี้ ทางกรมศิลปากร จังหวัดสุพรรณบุรี จะทำป้ายปักเอาไว้เพื่อประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรู้และหายห่วงถึงสิ่งที่ กำลังทำอยู่

"ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายนั้น จริงๆ หากประเมินถ้าต้องทำก็ต้องทำรูปแบบรายการแล้วขออนุมัติท่านอธิบดีในการ ดำเนินการ ความเป็นเจ้าของอยู่ที่ว่าทางไหนพร้อมก่อน วัดเขมาฯ นี้มีพระสงฆ์เป็นนิติบุคคลหลักเกณฑ์จริง เขาเคยมีการตกลงกันว่า ทางกรมครึ่งหนึ่งทางวัดครึ่งหนึ่ง หรือทางวัดไม่มี ทางกรมก็ไปตั้งงบประมาณ แต่กรณีฉุกเฉินแบบนี้ ทางวัดมีก็ใช้เงินวัด แต่ถ้าไม่มีทางกรมก็พอจะจัดงบฉุกเฉินได้เพราะกรมตั้งทุกปีอยู่แล้ว ดังนั้นเรื่องทั้งหมดนี้ขอให้สบายใจเพราะเมื่อมีข้อสงสัยของวัดและชาวบ้าน กรมก็จะเอาทางวิศวกรรมการเข้าไปจับเพื่อสร้างความกระจ่าง"
เมื่อถาม ว่าหลังจากที่สำรวจ 1 ปี ทางวัดและประชาชนจะมั่นใจได้ไหมว่าพระมหาเจดีย์ และอุโบสถโบราณจะไม่ล้มลงมา ผอ.สำนักศิลปากรที่ 2 จังหวัดสุพรรณบุรีผู้ดูแลพื้นที่ กล่าวย้ำว่าส่วนบริการกรมศิลปากรสัญญาว่าจะดูแลอย่างใกล้ชิด แต่ในเชิงวิศวกรรม วิศวกรโยธาของกลุ่มวิชาการอนุรักษ์โบราณสถาน เอาตำแหน่งการันตีว่าเมื่อเทียบกับที่อื่นที่ดูแลอยู่เจดีย์นี้ถือว่า ปลอดภัยและยังไม่ล้มในระยะเวลาอันใกล้ เอาตำแหน่งการันตี

เมื่อถามถึงสภาพร้าวของตัวภายนอก ภายในอุโบสถ และพระประธานอายุเก่าแก่ประเมินค่าไม่ได้นั้น นายวิชัย เวทรังสิการ วิศวกรโยธา กลุ่มวิชาการอนุรักษ์โบราณสถาน สำนักโบราณคดี กล่าวว่า เท่าที่สำรวจเบื้องต้นสาเหตุการแตกร้าว นอกจากจะเกิดจากการหดตัวของซิเมนต์แล้วยังมาจากความชื้นของน้ำอีกด้วย
"อย่าง ระเบียงหรือบันไดอุโบสถที่เห็นว่ามีการแตกกระเทาะร้าวออกมานั้น ไม่เกี่ยวกับฐานราก หากแตกร้าวที่ฐานรากจริงมันแตกร้าวยาวไปจนตลอด ส่วนเรื่องความเอียงของอุโบสถนั้นน่าจะเกิดมาจากปัจจัยเดียวกับพระมหาเจดีย์ เนื่องจากฐานมันวางบนดินอ่อน ทางกรมศิลป์ก็จะเจาะดินเพื่อดูคุณภาพดินเมื่อแรกสร้างและการคายน้ำว่าเป็น อย่างไร แต่เท่าที่มองน่าจะมาจากสาเหตุของถนน เพราะมันมีรถวิ่งอยู่ตลอดเวลาเป็นปัจจัยทำให้เอียง อย่างไรก็ดีเนื่องจากอาคารเก่าแก่ในสมัยก่อนแข็งแรงแตกต่างกับสมัยนี้ เนื่องจากอาคารโบราณมันเป็นผนังทึบทั้งหมดเหมือนมี 500 ขา หากแตกไปหนึ่งขามันก็ยังมีอีก 499 ขา รองรับอยู่ผิดกับอาคารสมัยใหม่ที่มี 4 ขาพอพังไป 1 ขาก็จะถล่มทันที"
สุดท้าย กรณีเศียรพระประธานโบราณในอุโบสถแตกร้าวหนักนั้น ทีมวิศวกรโยธา จากสำนักโบราณคดีกล่าวว่า จากที่สำรวจไม่น่าเกี่ยวกับโครงสร้างของพระประธาน เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นจริง สิ่งที่จะแตกก็คือพระเพลาก่อน เนื่องจากเป็นส่วนที่ยื่นออกมา

อย่างไรก็ดี ทางกรมศิลปากรจะส่งผู้เชี่ยวชาญมาดูเรื่องนี้อย่างเร่งด่วน ดังนั้นขอให้ทางวัดและประชาชนสบายใจ ส่วนกรณีที่ทางวัดดำริจะสร้างฐานปิดเพื่อจะไม่ทำให้เจดีย์ต้องตากฝนและน้ำ ขังอีกนั้น ไม่สามารถทำได้เพราะว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงทางสถาปัตยกรรมโบราณ จะมีความผิดได้ แนะนำให้จัดการเรื่องระบายน้ำก็น่าจะช่วยได้ดีกว่า
ด้าน พระครูปลัดปุณยวิชญ์ ปุญญวโร เลขานุการเจ้าคณะตำบล คณะจังหวัดนนทบุรี (ธ) กล่าวขอบคุณ อธิบดีกรมศิลปากร ผู้อำนวยการสำนักศิลปากรที่ 2 จังหวัดสุพรรณบุรี ทีมวิศวกรโยธา ของกลุ่มวิชาการอนุรักษ์โบราณสถาน สำนักโบราณคดี ผู้อำนวยการสำนักโบราณคดี กรมศิลปากร และทีมข่าวไทยรัฐ ออนไลน์ที่ให้การช่วยเหลือ นับจากนี้ทางวัดและประชาชนจะได้นอนหลับเต็มตาซะที
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น