ปัญหายาเหลือใช้ในครัวเรือนเป็นปัญหาซ่อนเร้นของระบบสุขภาพไทย
ถือเป็นภัยเงียบต่อสุขภาพและความปลอดภัยของผู้ป่วย....
เรื่อง....มัลลิกา นามสง่า
เคยสำรวจตู้ยาที่บ้านบ้างไหมว่า มียาเก่าเก็บวางค้างไว้ตั้งแต่เมื่อกาลไหน ฉลากยาที่เขียนไว้ข้างขวดแทบจะเปื่อย ตัวอักษรเลือนไปจนเกือบหมด ชื่อยาบนซองอ่านไม่ชัดว่าคือยาใช้กับอาการอะไร แต่ก็ยังเก็บไว้ เผลอๆ พานหยิบเอามารับประทานโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์และไม่รู้ถึงผลกระทบของยาเหลือ ใช้

“ภญ.รศ.ธิดา นิงสานนท์” นายกสภาเภสัชกรรม เปิดเผยว่า ปัญหายาเหลือใช้ในครัวเรือนเป็นปัญหาซ่อนเร้นของระบบสุขภาพไทย ซึ่งไม่เพียงแต่จะส่งผลกระทบต่อค่าใช้จ่ายด้านยาของประเทศเท่านั้น แต่ยังเป็นภัยเงียบต่อสุขภาพและความปลอดภัยของผู้ป่วย โดยเฉพาะหากมีการนำยาเหลือใช้ไปให้ผู้อื่นใช้ต่อ เพราะคนอื่นอาจแพ้ยาตัวนั้นเกิดปัญหาตามมาอีก อาทิ การใช้ยาฆ่าเชื้อเตตร้าซัยคลินที่หมดอายุ จะทำให้เกิดภาวะไตวายได้ การใช้ยาที่ไม่มีฉลากยาหรือมีฉลากยาไม่ครบถ้วน จะทำให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพอย่างไม่สามารถคาดคะเนได้
ส่วนสาเหตุที่ทำให้มียาเหลือใช้ เช่น ผู้ป่วยซื้อยามาเก็บไว้แล้วไม่ได้ใช้หรือใช้ไม่หมดเพราะอาการหายไปแล้ว หรือจากการที่แพทย์เปลี่ยนการรักษามาใช้ยาตัวใหม่ ยาเดิมไม่ใช้แล้วแต่ยังมียาเหลือจำนวนมาก หรือไปพบแพทย์หลายแห่งและได้รับยาจากสถานพยาบาลหลายๆ ที่ โดยที่ผู้ป่วยไม่ได้แจ้งแพทย์ถึงประวัติการรักษาที่โรงพยาบาลอื่นๆ บ้างลืมรับประทานยาหรือรับประทานยาไม่สม่ำเสมอ บางครั้งผู้ป่วยปรับลดขนาดยาที่ใช้เอง หรือผู้ป่วยเสียชีวิต หรือจากการที่ใช้ยาไม่ถูกต้อง ฯลฯ
ป้องกันยาเหลือใช้และใช้ยาเหลือ

อ่านฉลากให้ถี่ถ้วนก่อนใช้ยา ควรอ่านให้เข้าใจว่าใช้อย่างไร ต้องใช้ต่อเนื่องจนยาหมดหรือไม่ หรือใช้นานเท่าใด ยาบางชนิด เช่น ยาปฏิชีวนะ ต้องกินติดต่อกันจนหมด เพื่อให้ได้ผลในการรักษา หรือยาหยอดตา เมื่อเปิดใช้แล้วเกิน 1 เดือน ให้ทิ้งไป เป็นต้น ถ้าปฏิบัติตามคำแนะนำบนฉลาก จะช่วยลดยาเหลือใช้ได้
อย่าลืมนำยาที่เหลืออยู่ไปด้วยทุกครั้งที่ไปพบแพทย์ เพื่อให้แพทย์ทราบถึงจำนวนยาที่เหลืออยู่ และสั่งจ่ายยาตามจำนวนที่หักยาเดิมให้พอถึงวันนัดครั้งต่อไป แทนที่จะสั่งยาให้ตามจำนวนวัน ซึ่งทำให้มียาเดิมเหลือค้างอยู่จำนวนหนึ่ง หากแพทย์มีการเปลี่ยนยาให้ใหม่ และถ้าใช้ร่วมไปกับยาเดิม จะทำให้ได้รับยามากเกินไปจนอาจเป็นอันตราย แต่ถ้าไม่ใช้ ยาเดิมนั้นก็จะเป็นยาเหลือใช้ ไม่ควรซื้อยาบรรเทาอาการคราวละมากๆ ยาบรรเทาอาการ เช่น ลดไข้ แก้ปวดศีรษะ แก้หวัด
นอกจากนี้ควรยาให้เหมาะสม เพราะช่วยให้ผู้ใช้ยาได้รับยาที่มีคุณภาพ มีประสิทธิภาพในการรักษาโรคอย่างเต็มที่ ซ้ำยังช่วยให้ยามีอายุการใช้งานยาวนานอีกด้วย ควรหลีกเลี่ยงการเก็บยาในที่ที่ยาสัมผัสกับความร้อนโดยตรง หรือแสงแดดส่องถึงเป็นระยะเวลานาน หรือในสถานที่ที่มีความชื้น เนื่องจากความร้อนและความชื้นทำให้ยาเสื่อมสภาพได้ ควรเก็บไว้ที่อุณหภูมิห้องประมาณ 25–30 องศาเซลเซียส ควรเก็บยาแต่ละชนิดแยกเป็นสัดส่วน และควรเก็บยาไว้ในบรรจุภัณฑ์เดิม เป็นต้น
จัดการกับยาเหลือใช้ในบ้าน
- ควร
ควรตรวจสอบสภาพยาและวันหมดอายุของยาก่อน โดยดูจากข้อมูลวันหมดอายุบนแผงยา หรือที่ข้างกล่องยา ทั้งนี้โดยดูสภาพเม็ดยาประกอบด้วย เพราะบางครั้งการเก็บยาไม่ดีก็จะทำให้ยาเสื่อมสภาพก่อนวันหมดอายุ เช่น เก็บไว้ในที่ร้อนหรือที่แดดส่องถึง หรือไว้ในที่ชื้น เป็นต้น หากไม่มีวันหมดอายุระบุไว้ ให้ดูจากวันที่ที่ได้รับยามาซึ่งระบุบนซองใส่ยา หากได้รับยามาเกิน 6 เดือนถึง 1 ปี ก็ไม่ควรใช้อีกต่อไป
ยาเหลือใช้ที่ยังไม่หมดอายุและอยู่ในสภาพดี ควรเก็บอยู่ในซองยา หรือขวดยาเดิม และวางรวมไว้ที่เดียวกันในที่ที่เหมาะสม หรือเก็บในตู้ยา หรือกระเป๋ายา ให้พ้นแสงแดด ไม่เก็บในที่ชื้น และต้องให้พ้นมือเด็ก ตรวจสอบด้วยว่าฉลากยายังชัดเจน มีวิธีใช้ครบถ้วน หากไม่มั่นใจ ให้นำไปปรึกษาเภสัชกร
ยาเหลือใช้ที่หมดอายุหรือเสื่อมสภาพแล้ว ให้ทำลายก่อนทิ้ง โดยแกะฉลากที่มีชื่อออก ถ้าเป็นยาเม็ด ให้ทุบทำลายและเติมน้ำเล็กน้อย หรือถ้ามียาน้ำที่หมดอายุให้เทผสมลงไป ยาครีมขี้ผึ้งให้บีบออกจากหลอด จากนั้นนำกากใบชา ขี้เลื่อย เศษผัก หรือเปลือกผลไม้ผสมลงไปในถุงเดียวกัน ปิดปากถุงให้สนิท (ถ้าเป็นถุงซิปล็อกได้ก็จะดี) ก่อนจะทิ้งลงถังขยะต่อไป เพื่อไม่ให้คนอื่นนำยาที่ทิ้งนั้นไปใช้ได้อีก แต่หากมียาเหลือใช้จำนวนมาก ให้นำไปปรึกษาเภสัชกร
- ไม่ควร
อย่านำยาเหลือใช้ไปให้คนอื่นใช้ ขณะเดียวกันก็อย่ากินยาที่คนอื่นให้มา เพราะอาการคล้ายกัน แต่อาจไม่ใช่โรคเดียวกัน ขนาดยาก
อาจไม่เหมาะสม และอาจเกิดอาการแพ้ยาได้อีกด้วย
อย่านำยาเหลือใช้มารวมในซองยา หรือขวดยาเดียวกัน
อย่าแกะยาออกจากแผงหากยังไม่ใช้
อย่าเก็บยาในตู้เย็น ยกเว้นยาที่มีฉลากระบุไว้
อย่าเก็บยาในรถที่จอดทิ้งไว้เพราะความร้อนจะทำให้ยาเสื่อม
อย่าหยุดยาเอง เพราะแพทย์จะเข้าใจผิดว่าอาการที่เลวลงเป็นเพราะโรค แล้วเพิ่มยาให้อีก
อย่าซื้อยากินเองโดยไม่ปรึกษาเภสัชกร เพราะถ้าได้รับยาจำนวนมากจากสถานพยาบาลแล้วอาจได้รับยาซ้ำซ้อน
http://www.posttoday.com/lifestyle/health-me
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น