เวลาจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้นเอง

อ่าน.......ขำๆ

วันเสาร์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ร่วมรักท่าไหน ใครควบคุม-ได้เปรียบ-ซี้ดสุดเสียง?! /เริงฤทธิ์รัก Sexociety



โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

คอลัมน์ Sexociety โดย เริงฤทธิ์รัก

การปรุงแต่งรสรักในกามกิจชีวิตประจำวันของคนเรานั้น มันมีมาแต่ไหนแต่ไร ด้วยความซุกซนใคร่รู้อยากลองหนีความจำเจเป็นเบื้องต้ น

แรกเริ่มเดิมที มนุษย์เราก็แค่สัตว์โลกพันธุ์หนึ่ง ที่กินนอนสืบพันธุ์ตามธรรมชาติ ที่ควรจะเป็นในการขยายพันธุ์เช่นเดียวกับสัตว์อื่น

ยุคแรกๆ คงไม่มีการปรุงรสสวาทอะไรนัก ท่าร่วมเพศของคนเรา ซึ่งดิบๆ เถื่อนๆ ด้วยท่าเลียนแบบสัตว์ Doggy Style บ้านเราเรียกว่า ท่ากวางเหลียวหลัง (หรือ Knee-Chest Position เป็นท่าที่ผู้หญิงคว่ำหน้าลงกับเตียง มือยันพื้นขาคุกเข่า อ้าขาออกเล็กน้อย เหมือนท่าหมาคลาน ภาษาชาวบ้านเรียกว่า เข้าทางด้านหลัง)

นานต่อมา ความซ้ำซากน่าเบื่อ ไอเดียสร้างสรรค์จึงทำให้เกิดท่าร่วมรักหลากหลายขึ้น คงใช้เวลานานเหมือนกันแหล่ะ กว่าจะกล้ากว่าจะทำ

อารยะธรรมไม่ใช่มีแค่ประเพณีวัฒนธรรมร้องรำทำศิลปะอย ่างเดียว ท่าร่วมเพศก็แสดงถึงอารยะธรรมด้วย

ในอินเดียประเทศ อารยะธรรมของฮินดู ถือการ่วมเพศเหมือนเป็นภาระศักดิ์สิทธิ์ เชื่อมโลกกับสวรรค์เข้าเป็นหนึ่งเดียว

พวกฮินดูจึงประดิดประดอย ปั้นท่าร่วมรักรอบวิหารสถูปซะเต็มไปหมด จนรู้จักกันทั่วโลกในชื่อ “กามาสูตรา” อันลือเลื่อง

มีสารพัดท่าร่วมเพศเท่าที่จะสรรสร้าง

มันมีมาก่อนที่พวกฝรั่งจะเผยแพร่ ท่ามิชชันนารี (Missionary Position ฝ่ายหญิงนอนหงายราบ แยกขาสองข้างออกจากกันให้มีพื้นที่ตรงกลางในการทำกิจ กรรม ฝ่ายชายอยู่ด้านบนสามารถควบคุมท่าได้ เดี๋ยวนี้กลายเป็นท่ามาตรฐาน นึกอะไรไม่ออกก็เอาท่านี้ไว้ก่อน) ไปทั่วโลกพร้อมกับเรือสินค้า มันเป็นฮาวทูเรื่องเพศที่นักบวชเอาติดมาฝากพวกป่าเถื ่อนหลังเขา เอากันอยู่แต่ “ท่าหมาๆ”

ท่ามิชชันนารี หรือบ้านเราเรียก จระเข้กบดาน นักบวชคริสต์โฆษณาว่า มันเป็นท่ามนุษยชาติ ไม่ใช่ท่าลอกเลียนแบบสัตว์เหมือนเดิม มันมีอารยะกว่า ว่างั้นเถอะ

ความที่ท่านี้ตำแหน่งชายจะอยู่เหนือหญิง มันมีนัยยะการกดขี่แฝงอยู่ ในคติชายเป็นใหญ่

อีก ทั้งท่ากวางเหลียวหลัง เป็นท่าที่สาวเจ้าเผ่าไทยร้อยละเก้าสิบเก้าไม่ชอบนัก บอกว่า “เจ็บ” “รังเกียจ..ทำเหมือนหมา” “ไม่มีความสุข” เหมือนต่ำต้อยด้อยค่า

สู้ท่าจระเข้กบดานไม่ได้ เลยฮิตติดลมบนให้ชายขย่มได้ขย่มดี จนมีลูกมีหลานเต็มบ้านเต็มเมือง

แต่ ท่าจระเข้กบดานนี่แหล่ะ ชายปากเสียมักจะเม้าท์มอยลับหลัง “นอนอย่างกับขอนไม้” ก้อหญิงส่วนใหญ่ขี้อายเรียบร้อยไม่กล้าแสดงความหฤหรร ษ์ให้ปรากฏ กลัวหาว่าเป็นหญิงร่านร้อน

การร่วมรักที่ผูกติดกับประเพณีความเชื่อทางวัฒนธรรม จึงทำให้เกิดช่องว่างในชีวิตสมรสสมรักกันมายาวนาน

ค่า นิยมขี้อายเรียบร้อยกุลสตรีนี่แหล่ะ ที่ทำให้ชายชอบสนุกซุกซน ดั้นด้นค้นหาแหล่งระบาย หนีความซ้ำซากจำเจ ซ่องหรือสถานนวดนาบจึงเปิดกันเกร่อ รวยได้รวยเอา

ก้าวมาถึงยุคไร้พรมแดน การร่วมรักของชายหญิงก็เปิดกว้างมากขึ้นตามลำดับ การกล้าทดลองสิ่งใหม่จึงงอกงามตามยุคสมัย

ความคร่ำครึโบราณถูกก้าวข้ามไป สู่ความเสมอภาคมากขึ้น ท่า Women on top (ท่านี้ผู้ชายนอนหงาย ฝ่ายหญิงคร่อมทับด้านบน) จึงปรากฏในนิยามยุคใหม่ของการร่วมรัก ไทยเราเรียกท่านี้ว่า ท่าขย่มตอ แต่ก่อนชายไทยถือว่าเรื่องผู้หญิงอยู่ข้างบนว่า “ไม่ดี” เป็นการข่มขวัญชาย จึงหลีกเลี่ยงไม่ให้ผู้หญิงขึ้นคร่อม

มายุคนี้ “พี่ไม่ต้อง น้องทำเอง” เมื่อชายไม่คร่ำครึ หญิงก็ไม่คร่ำเคร่ง ความสุขที่ได้รับจึงต่างถ้อยทีถ้อยสร้างร่วมกัน

ท่า ขย่มตอเป็นท่าที่ผู้หญิงควบคุมความสุขได้อย่างแท้จริ ง เพราะผู้หญิงสามารถควบคุมทุกอย่าง ทั้งจังหวะ ความแรง มุมสัมผัส สามารถตอบสนองความต้องการของผู้หญิงได้ดั่งใจที่สุด ถึงจุดสุดยอดได้ง่ายที่สุด

ผู้ชายเองก็โปรดปรานนัก เพราะนอกจากไม่ต้องออกแรงเองแล้ว ยังได้เชยชมมองสรีระหญิงสาวที่รักได้อย่างเต็มตา

ไม่ ต้องดูอื่นไกล ฉากเลิฟซีนของหนังฮอลลีวูด นางเอกร้อยทั้งร้อยขึ้นควบพระเอกได้อย่างไม่เคอะเขิน เรียกว่า “หนอยนึกว่าแน่ เจอแม่เสือสาวสักหน่อย สั่นห้อยเลยเหรอเพ่..”

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น