เวลาจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้นเอง

อ่าน.......ขำๆ

วันอาทิตย์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2553

อาหารมื้อสุดท้ายของพระเยซู

ครั้นถึงเวลาพลบค่ำ พระเยซูร่วมรับประทานอาหารกับสาวก 12 คน ขณะกำลังรับประทานอาหารกันอยู่ พระองค์ตรัสว่า      " เราบอกความจริงกับทุกคนว่า คนหนึ่งในพวกท่านจะทรยศต่อเรา " สาวกพากันเป็นทุกข์ ต่างคนต่างทูลถาม คือตัวเองหรือไม่  
พระเยซูตรัสตอบว่า " ผู้ที่จิ้มอาหารชามเดียวกับเราคือผู้ที่จะทรยศเรา บุตรมนุษย์จะเสด็จไปตามที่ได้เขียนไว้ว่าด้วยพระองค์นั้น แต่วิบัติแก่ผู้ที่จะทรยศบุตรมนุษย์ไว้ ถ้าคนนั้นมิได้บังเกิดมาก็จะดีกว่า" ยูดาส ที่ในเวลาต่อมาคือผู้ทรยศพระเยซูทูลถามว่า "อาจารย์เจ้าข้า คือข้าพระองค์หรือ" พระเยซูตรัสตอบเขาว่า "ท่านว่าถูกแล้ว" ระหว่างอาหารมื้อนั้น พระเยซูทรงหยิบขนมปังมา และเมื่อได้กล่าวขอบคุณพระเจ้าแล้ว ทรงหักส่งให้แก่เหล่าสาวกตรัสว่า "จงรับกินเถิด นี่เป็นกายของเรา" แล้วพระเยซูก็ได้หยิบถ้วยมาขอบคุณพระเจ้าและส่งให้เหล่าสาวกแล้วตรัสว่า      "จงรับไปดื่มทุกคน เถิด ด้วยว่านี่เป็นโลหิตของเราอันเป็นโลหิตแห่งพันธสัญญาใหม่ ซึ่งต้องหลั่งออกเพื่อยกบาปโทษคนเป็นอันมาก เราบอกท่านทั้งหลายว่า เราจะไม่ดื่มน้ำผลแห่งเถาองุ่นต่อไปอีกจนวันนั้นมาถึง คือวันที่เราจะดื่มกันใหม่กับพวกท่านในอาณาจักรแห่งพระบิดาของเรา"
      นี่คือส่วนหนึ่งที่อยู่ในคัมภีร์ไบเบิลและเป็นที่มาที่สำคัญของภาพวาดชื่อ The Last Supper ที่ทุกคนรู้จัก  
Leonardo Da Vinci

   มีผู้วาดภาพ The Last Supper กันมาก แต่ที่เป็นที่รู้จักดีที่สุดก็คือภาพวาดของ Leonardo Da Vinci ที่วาดในช่วงระหว่างปี ค.ศ. 1495-1498 โดยวาดให้กับนายของตัวเอง คือ Duke Ludovico Sforza และ Duchess Beatrice d′Este ภาพ ดังกล่าวเป็นภาพแสดงเหตุการณ์ที่พระเยซูกำลังรับประทานอาหารค่ำมื้อสุดท้าย ร่วมกับสาวก 12 คนก่อนที่จะถูกตรึงกางเขน และพระองค์ประกาศว่า สาวกคนหนึ่งจะทรยศต่อพระองค์ Leonardo Da Vinci วาดภาพ The Last Supper ขนาด 450x870 เซนติเมตร บนผนังกำแพงของห้องๆหนึ่งในอาคารที่ถูกเตรียมไว้สำหรับเป็นสุสานของครอบครัว Sforza  

Leonardo Da Vinci ใช้เวลาวาดภาพ The Last Supper เพียง 3 ปี ระยะเวลา 3 ปีนับว่าสั้นมากเมื่อเทียบกับการเป็นผลงานชิ้นเอกของโลก เหตุผลที่ภาพดังกล่าวถือว่าเป็นผลงานชิ้นเอกของโลกและเป็นที่ชื่นชมก็เพราะ มีความแตกต่างจากภาพ The Last Supper ที่คนอื่นวาดเพื่อแสดงถึงการรับประทานอาหารมื้อสุดท้ายของพระเยซูกับสาวก แต่ภาพของ Leonardo Da Vinci ได้จำลองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากที่พระเยซูกล่าวทำนายอนาคตของตนเองว่าจะมีสาวกคนหนึ่งทรยศต่อพระองค์
ภาพดังกล่าวเป็นเหมือนภาพถ่ายที่เก็บความรู้สึกของสาวกแต่ละคนที่ แสดงออกมาทางสีหน้าท่าทาง เป็นความรู้สึกตกใจและหวาดกลัวของสาวก12 คนที่เกิดขึ้นภายหลังทราบข่าวร้ายเพียงไม่กี่วินาที โดยในภาพวาด Leonardo Da Vinci แบ่งสาวกออกเป็น 4 กลุ่มๆละ 3 คน คือ      

Bartholomew, James บุตรของ Alphaeus และ Andrew กลุ่มที่อยู่ทางขวามือสุดของพระเยซู มีท่าทีแปลกใจกับข่าวที่ได้ยินJudas, Peter และ John กลุ่มที่อยู่ทางขวามือติดพระเยซู Judas สวมเสื้อสีเขียวฟ้า อยู่ในเงามืด มือกำกระเป๋าใบเล็กที่สื่อความหมายได้ว่าอาจเอาไว้ใส่เงินที่ได้มาจากการทรยศต่อพระเยซู Judas เป็นคนเดียวที่ข้อศอกวางอยู่บนโต๊ะ Peter ท่าทางโกรธ มือถือมีดแต่หันปลายไปตรงข้ามพระเยซู
ส่วน John สาวกที่เด็กที่สุดทำท่าเหมือนกับจะเป็นลมThomas, James The Greater และ Philip กลุ่มที่อยู่ทางซ้ายมือติดพระเยซู Thomas มีท่าทางผิดหวัง James ตกใจยกมือขึ้นส่วน Philip กังวลและต้องการคำอธิบายMathew, Jude Thaddeus และ Simon The Zealat กลุ่มที่อยู่ทางซ้ายมือสุดของพระเยซู สาวก 2 คนแรกหันไปทาง Simon คล้ายกับจะถามว่ามีคำตอบไหมสำหรับเรื่องนี้      
     เดิมเข้าใจกันว่า Leonardo Da Vinci วาดภาพ The Last Supper ลงบนปูนเปียก (fresco) แต่ต่อมาจึงค้นพบว่าภาพดังกล่าววาดบนกำแพงปูนธรรมดาที่มีการรองพื้นเพื่ออุด รอยต่างๆบนกำแพงด้วยวัสดุหลายอย่าง เช่น สีน้ำมันผสมกับไข่ ด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้ภาพวาดอยู่ได้ไม่นาน ในปี ค.ศ. 1516 ภาพวาดเริ่มแตก มีการบันทึกไว้ในปี ค.ศ. 1556 โดย Giorgio Vasari ผู้เขียนประวัติของ Leonardo Da Vinci เขียนไว้ว่า ภาพวาดเสียหายจนมองแทบจะไม่เห็นหน้าใครเลย ในปี ค.ศ. 1652 มีการปรับแต่งกำแพงใหม่และเจาะประตูทำให้ภาพวาดช่วงเท้าของพระเยซูหายไป
ต่อมา มีการซ่อมภาพวาดอีกหลายครั้ง คือ ค.ศ. 1726 โดย Michelangelo Bellotti, ค.ศ. 1770 โดย Giuseppe Mazza, ค.ศ. 1821 โดย Stefano Barezzi ซึ่งก็เป็นการซ่อมที่ไม่เป็นเรื่องเป็นราวเท่าไรนักเพราะในบางครั้งก็ใช้การ วาดทับด้วยสีน้ำหรือไม่ก็ขูดสีเดิมออก ต่อมาในระหว่างปี ค.ศ. 1901-1908 Luigi Cavenaghi เข้ามาทำความสะอาดภาพวาดและในปี ค.ศ. 1924 Oreste Silvestri ก็ได้เข้ามาทำความสะอาดต่อ ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ในวันที่ 15 สิงหาคม ค.ศ. 1943 อาคารถูกระเบิดแต่โชคดีที่ภาพวาดไม่ได้รับความเสียหายโดยตรง ค.ศ. 1951-1954 Mauro Pelliccioli เข้ามาทำความสะอาดและซ่อมแซมภาพวาด การทำความสะอาดและซ่อมแซมภาพวาดครั้งสำคัญที่สุดที่ใช้เวลานานถึง 21 ปีเกิดขึ้นโดยรัฐบาลอิตาลีในระหว่างปี ค.ศ. 1978-1999 โดยมีนาง Pinin Brambilla Barcilon เป็นหัวหน้าทีม ใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์และเทคนิคสมัยใหม่เข้ามาช่วยหลายอย่างจนทำให้ภาพวาดกลับมาสวยงามอีกครั้งหนึ่ง    500 ปีผ่านไป ผ่านการบูรณะไปหลายสิบครั้ง ผิดบ้างถูกบ้าง แน่นอนที่ภาพ The Last Supper ที่เราเห็นในปัจจุบันกับที่ Leonardo Da Vinci วาดไว้เมื่อกว่า 500 ปีที่ผ่านมา คงต้องแตกต่างกันไปบ้างและไม่อาจถือได้ว่านี่คือฝีมือแท้ๆของ Leonardo Da Vinci แต่อย่างน้อย นี่คือความพยายามที่จะรักษาผลงานศิลปะของบรมครูระดับโลกให้อยู่กับเราต่อไป    
  มีข่าวลือเกิดขึ้นมากมายเกี่ยวกับภาพวาด The Last Supper ของ Leonardo Da Vinci โดยเฉพาะเรื่องของ John สาวกคนที่อยู่ทางขวามือติดกับพระเยซูที่มีผู้พยายามบอกว่าแท้จริงแล้วคือ Mary Magdalene ซึ่งเรื่องดังกล่าวก็ได้กลายมาเป็นส่วนสำคัญของภาพยนตร์เรื่อง The Da Vinci Code  Andy Warhol ศิลปิน pop art คนสำคัญของโลกเคยจัดนิทรรศการใหญ่เกี่ยวกับ The Last Supper เมื่อปี ค.ศ. 1986 ที่ Guggenheim Museum ใน New York มี ศิลปินเข้าร่วมแสดงจำนวนมากและได้รับความสนใจอย่างมากจนเป็นข่าวดังไปทั่วโลก    

   ปัจจุบัน สามารถเข้าชมภาพวาด The Last Supper ของ Leonardo Da Vinci ได้ที่วัด Santa Maria delle Grazia ในกรุง Milan ประเทศอิตาลี บนผนังเดิม แต่ได้รับการดูแลเป็นอย่างดีในห้องที่มีการควบคุมอุณหภูมิ และจำกัดจำนวนผู้เข้าชม เพื่อความบันเทิง ขอนำเอาภาพแปลกๆตลกๆเลียนแบบ The Last Supper ของ Leonardo Da Vinci มาให้ดูกันเล่นๆเป็นของขวัญวันคริสต์มาส และขอขอบคุณเจ้าของคำถามเกี่ยวกับภาพวาด The Last Supper ของ Leonardo Da Vinci ที่เป็นแรงบันดาลใจให้เขียนเรื่องนี้ทั้งๆที่ไม่ได้อยู่ในแผนมาตั้งแต่ต้น
   


 













 

อายตนะayatana2010@live.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น