เวลาจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้นเอง

อ่าน.......ขำๆ

วันเสาร์ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2554

เปิดเบื้องลึกชีวิตจริงหญิงขายตัว เอรี่ ธนัดดา






หาก "ชีวิต" เปรียบเสมือน "ละคร" เรื่องหนึ่ง คนทั่วไปคงอยากให้ละครเริ่มต้นด้วยความสุข สมหวัง ลงท้ายด้วยตอนจบแบบแฮปปี้เอ็นดิ้ง แต่สำหรับ "ละครชีวิตจริง" ของผู้หญิงที่ชื่อว่า "เอรี่" หญิงสาววัยกลางคนที่อดีตเคยผ่านประสบการณ์ค้ากามในต่ างแดน เธอคิดเพียงว่า การทำอาชีพนี้น่าจะทำให้ชีวิตของเธอพบเจอกับความสุขต ั้งแต่แรกเริ่มจนถึงตอน จบ แต่หารู้ไม่ว่า ก้าวเดินแต่ละก้าวของชีวิตที่ดำเนินไปนั้น เธอต้องพบกับความเศร้า และความทุกข์อย่างแสนสาหัสเพียงใด

และ นี่คืออุทาหรณ์อีกเรื่องหนึ่ง ที่เตือนใจผู้หญิงที่กำลังใช้ชีวิตสนุก ๆ และคิดว่าการไปทำงานต่างแดนได้เงินง่าย ๆ ทั้งที่ความจริงแล้ว "ประตูนรก" กำลังเปิดรอรับพวกเธออยู่

เอรี่ หรือคุณหนิง ธนัดดา สว่างเดือน ได้มาเปิดใจหมดเปลือกในรายการเจาะใจ โดยเล่าประสบการณ์ ในวงจรค้ากามที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเธอ ว่า ก้าวแรกสู่วงจรมืดของเธอนั้น เริ่มมาตั้งแต่ความผิดพลาดในสมัยที่เธอเรียนอยู่ชั้น ม.3 เมื่อเธอเกิดพลาดพลั้งตั้งท้องกับแฟนโดยไม่ได้ตั้งใจ ด้วยความยากจนเป็นทุนเดิม เธอจึงไม่มีเงินเลี้ยงลูก ทำให้เอรี่ตัดสินใจตามเพื่อนไปทำงานที่พัทยา โดยหวังจะได้ทำงานเป็นบาร์เทนเดอร์ แต่เพื่อนกลับพาเธอไปนั่งใน "ตู้กระจก" จนมีแขกมาเรียกใช้บริการ

ด้วยความไร้เดียงสา เอรี่ ไม่ทราบเลยว่า เธอถูกหลอกให้มาขายบริการทางเพศ แต่ครั้งนั้นแขกที่เรียกใช้บริการเธอเกิดเห็นใจที่ เอรี่ ถูกหลอกมา จึงให้เงินเธอ 4 พันบาท เพื่อให้เดินทางกลับกรุงเทพฯ แต่ครั้งนั้น ยิ่งทำให้ เอรี่ เห็นว่า "เงิน" สามารถหาได้ง่าย ๆ โดยไม่ต้องทำอะไรเลย เธอจึงตัดสินใจทำงานนี้ เพื่อหวังจะหาเงินไปให้แม่ และเลี้ยงลูก แม้จะต้องทำใจทุกครั้งที่มีแขกมาใช้บริการ

ชีวิต ของ เอรี่ เริ่มเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง เมื่อเพื่อนของเธอเริ่มพาเธอออกเที่ยวเตร่ กินเหล้าเมายา แต่ละวัน เอรี่ ใช้เงินเป็นเบี้ยด้วยความหลงระเริงแสงสี จนในที่สุด เอรี่ ตัดสินใจบินไปทำงานที่ฮ่องกง แต่ต้องแลกกับการใช้หนี้ด้วยการรับแขกวันละ "50 รอบ" รอบละ 20 นาทีทุกวัน ๆ ไม่มีวันหยุด จนกว่าวีซ่าจะหมด พร้อม ๆ กับการต้องวิ่งหนีตำรวจ หรือหากใครไม่ยอมทำ หรือทำไม่ไหว ก็ต้องทำงานใช้หนี้ด้วยการรับแขก 150 รอบ แล้วกลับเมืองไทยมาตัวเปล่าโดยที่ไม่ได้เงินสักแดงเด ียว เอรี่ เล่าว่า ช่วงเวลานั้นเธอลำบาก และถูกกดขี่อย่างมาก ทำให้เธอทำงานได้เพียง 3 อาทิตย์ แล้วตัดสินใจกลับเมืองไทยทันที

 

หลังจากกลับมาเมืองไทยแล้ว เอรี่ ได้รับการชักชวนให้ไปทำงานที่ญี่ปุ่นต่อ และญี่ปุ่นนี่เอง ที่เธอเกิดจับพลัดจับผลูได้เข้าไปทำงานในแก๊งยากูซ่า แม้จะมีคนโค้งคำนับให้เธอ มีคนให้เงินให้ทองใช้ แต่ เอรี่ ต้องใช้ชีวิตราวกลับนกน้อยในกรงทอง ไม่สามารถออกไปเที่ยวที่ไหนได้ตามประสาเด็กวัยรุ่น จนกระทั่งวันหนึ่ง เอรี่ ตัดสินใจหนีออกจากแก๊ง แต่กลับถูกจับได้ และถูกทำร้ายจนปางตาย ก่อนที่ เอรี่ จะสามารถออกจากแก๊งยากูซ่ามาได้ เพราะหัวหน้าแก๊งถูกตำรวจจับ

ครั้ง นั้นหัวหน้าแก๊งให้เงิน เอรี่ มา 3 แสนบาท เพื่อให้กลับไปตั้งตัวใหม่ที่เมืองไทย แต่ด้วยความรักสบาย และเห็นว่าไม่มีงานไหนที่ทำสบาย ๆ แล้วได้เงินมากเท่านี้ ทำ ให้ เอรี่ ตัดสินใจหากินต่อที่ญี่ปุ่น แต่การทำงานใหม่ของเธอครั้งนี้ ทำให้เธอพบกับประสบการณ์ที่เลวร้ายที่สุด เมื่อเธอถูกแขกซึ่งเป็นยากูซ่าทำร้ายร่างกายอย่างหนั ก และฉีดเฮโรอีนเข้าเส้นเลือด ก่อนจะรอดชีวิตมาได้อย่างไม่น่าเชื่อ จากนั้น เงินทองที่ เอรี่ หามาได้ก็เริ่มหมดลงเรื่อย ๆ ไปกับการพนัน ช้อปปิ้ง แล้วถูกตำรวจจับส่งกลับมาที่เมืองไทย เอรี่ ได้เปลี่ยนชื่อนามสกุลตัวเอง และสามารถเล็ดลอดกลับเข้าไปในญี่ปุ่นได้อีก 2 ครั้ง ซึ่งครั้งนี้ เธอไม่ได้ไปขายบริการแล้ว แต่ไปแต่งงานกับผู้ชายชาวญี่ปุ่น

ต่อมา เอรี่ ถูกส่งตัวกลับมาที่เมืองไทยอีกครั้ง แต่หลังจากอยู่ในเมืองไทยได้ 1 ปี กลับเกิดเหตุการณ์พลิกผันอีกครั้ง เมื่อช่วงเวลาประมาณเที่ยงคืนของวันหนึ่ง เอรี่ ได้ยืนรอรถเมล์เพื่อที่จะกลับบ้าน แต่เธอซึ่งติดยานอนหลับมาก ต้องการให้ยาออกฤทธิ์ทันทีที่กลับถึงบ้าน เธอจึงทานยานอนหลับระหว่างยืนรอรถเมล์ แต่รอแล้วรอเล่ารถเมล์ก็ยังไม่มาเสียที กระทั่งมีรถตู้คันหนึ่งเลี้ยวมาถามว่า เธอมายืนคนเดียวจะไปไหน จนได้ความว่าจะไปเส้นทางเดียวกัน ผู้หญิงที่อยู่ในรถ 2-3 คน จึงชวนเอรี่ขึ้นรถไปด้วยกัน แต่ระหว่างนั้น ยานอนหลับที่เอรี่ทานเข้าไปก็ออกฤทธิ์แล้ว ทำให้เธอหลับไปโดยไม่รู้ตัว

หลังจากนั้น เอรี่ ตื่นขึ้นมาอีกทีก็พบว่าตัวเองอยู่ในโรงแรม และคนขับรถตู้พยายามจะข่มขืนเธอ เอรี่ คิดแผนเอาตัวรอดด้วยการวางยานอนหลับในขวดเบียร์ เพื่อให้ผู้ชายคนนั้นดื่ม จากนั้นก็เกิดการต่อสู้กันขึ้น จนผู้ชายคนดังกล่าวล้มลงไปในอ่างอาบน้ำ เอรี่ จึงรีบหนีออกมาจากโรงแรม แต่ทว่า รปภ.ของโรงแรมกลับมาจับตัวเธอไว้ โดย อ้างว่า เธอเป็นพวกมิจฉาชีพมาพาคนมามอมยาชิงทรัพย์ แม้เธอจะปฏิเสธ ประกอบกับผู้ชายคนที่พาเธอมาจะเป็นพยานให้ว่า เอรี่ ไม่ได้เป็นพวกมิจฉาชีพ แต่ตำรวจกลับขู่ให้เธอรับสารภาพ เพื่อโทษหนักจะได้กลายเป็นเบา เอรี่ จึงจำใจยอมรับสารภาพ เพราะกลัวถูกทำร้าย สุดท้ายแล้ว เอรี่ ถูกตัดสินจำคุก 3 ปี 4 เดือน

ช่วงเวลา 3 ปีที่อยู่ในคุก ทำให้ เอรี่ รู้ว่า มีผู้ต้องขังอีกมากมายถูกใส่ร้ายให้เข้ามาอยู่ในคุก ทั้งที่ไม่มีความผิดเช่นเดียวกับเธอ ตั้งแต่นั้นมา เอรี่ จึงตั้งใจอ่านหนังสือกฎหมาย เล่าเรียนด้วยตัวเองเพื่อหาความรู้ใส่ตัว และได้เขียนฎีกาช่วยเหลือเพื่อนในคุกตลอดมา จนกระทั่งพ้นโทษ เอรี่ ได้กลับมาอยู่กับสามีชาวญี่ปุ่นที่เมืองไทยอีกครั้ง เธอตัดสินใจขายของเลี้ยงชีพ โดยตั้งปฏิญาณกับตัวเองว่า จะไม่กลับไปเส้นทางเดิมอีก แต่สุดท้าย กิจการต่าง ๆ ก็ไปไม่รอด เอรี่ กลับต้องเป็นหนี้นอกระบบ แถมแฟนชาวญี่ปุ่นก็ไปมีผู้หญิงคนอื่นจนต้องเลิกกัน

ชีวิตของ เอรี่ เหลือเพียงสุนัขตัวเดียว ไม่มีบ้าน ไม่มีเงิน ไม่มีทางออก มีแต่หนี้ เอรี่ ตัดสินใจกลับไปหาแม่ที่ไม่เคยรู้เลยว่า เธอเคยทำอาชีพอะไรมาบ้าง จากนั้น เอ รี่ ได้ทำงานเป็นแม่บ้านในโรงแรม และเริ่มใช้ชีวิตประหยัดขึ้น แต่สุดท้าย เธอก็ทนกับแรงกดดันในฐานะมนุษย์เงินเดือนไม่ได้ เอรี่ ตัดสินใจกลับไปทำงานค้ากามเช่นเดิม ณ จุดหมายใหม่ ที่ประเทศบาห์เรน แม้ตอนนั้นเธอจะอายุเกือบ 40 ปีแล้วก็ตาม

ที่ประเทศบาห์เรนนี่เอง เอรี่ ได้พบกับชายชาวอเมริกันคนหนึ่งที่สนใจเรื่องราวชีวิต ของเอรี่ จึงได้ให้ความช่วยเหลือส่งเสียให้เธอได้กลับมาเรียนแ ต่งหน้าหาเลี้ยงชีพที่ เมืองไทย และขอให้เธอสัญญาว่า จะไม่กลับไปค้าบริการอีก ด้วยเหตุนี้ เอรี่ จึงได้กลับมาเมืองไทย มาทำงานเป็นช่างแต่งหน้า และเพ้นท์เล็บ โดยมีชายชาวอเมริกันเป็นผู้ให้ความช่วยเหลือ

ความเปลี่ยนแปลงในชีวิตของ เอรี่ เกิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อ พี่สาวของ เอรี่ แนะนำให้ เอรี่ เขียนหนังสือเล่าประสบการณ์ชีวิตของตัวเอง เพื่อเป็นบทเรียนให้เด็ก ๆ วัยรุ่นที่ใจแตก หรือผู้หญิงที่กำลังมีความคิดอยากทำงานขายตัวแลกเงิน เช่นเธอในอดีต ไม่ให้หลงผิดไปกับวงจรมืดนี้ ด้วยคำชักชวนนี้เอง ทำให้ เอรี่ จับปากกาเขียนหนังสือบอกเล่าเรื่องราวชีวิตอันแสนโหด ร้ายของเธอ ก่อนจะออกมาเป็นรูปเล่มในชื่อว่า "ฉันคือเอรี่ กับประสบการณ์ข้ามแดน"

และสิ่งที่ เอรี่ ไม่คาดคิดก็คือ หนังสือที่เธอใช้เวลาเขียนเพียง 1 เดือนเล่มนี้ จะทำให้เธอได้รับรางวัลชมนาด ประเภทหนังสือดีเด่น ซึ่งเป็นรางวัลสำหรับนักเขียนหญิงที่ถ่ายทอดชีวิตจริ งออกมาผ่านตัวอักษร และขณะนี้หนังสือของเธอกำลังจะถูกตีพิมพ์เป็นภาษาอัง กฤษ และจีน อีกด้วย ด้วยเหตุนี้เอง เอรี่ จึงมีกำลังใจมากขึ้น และมานั่งคิดว่า ที่ผ่านมามันเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของเธอ

นอกจากนี้ เอรี่ ยังได้เข้าไปบรรยายถ่ายทอดประสบการณ์ของเธอให้นักโทษ หญิงในเรือนจำบางขวาง ได้ฟัง ซึ่งเธอบอกว่า เธอรู้สึกภูมิใจมากที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการให้กำลัง ใจผู้อื่นให้มีชีวิต อยู่ต่อไป โดยยกเรื่องราวชีวิตอันแสนโหดร้ายของเธอมาเป็นบทเรีย น และเธอได้ย้ำเสมอว่า งานขายบริการทางเพศเป็นเหมือนวงจรมืดที่ใครเข้ามาแล้ วล้วนถูกสาป แม้จะพยายามหันกลับไป หรือสาบานกับตัวเองว่าจะไม่ทำงานนี้แล้ว แต่สุดท้ายก็มีน้อยคนนักที่จะก้าวพ้นออกไปได้ตลอดรอด ฝั่ง เพราะส่วนใหญ่ต้องกลับมายึดอาชีพเดิมเสียทุกครั้ง เธอจึงไม่ต้องการให้ใครก้าวถลำลึกเข้าไปในจุดที่เธอเ คยผ่านมาแล้วแม้แต่คน เดียว

เชื่อว่าใครที่ได้รับฟัง หรืออ่านเรื่องราวของ "เอรี่" แล้ว คงเข้าใจคำว่า "คนเราเลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกเส้นทางเดินของตัวเองได้" เป็น อย่างดี แม้ว่าครั้งหนึ่ง "เอรี่" จะเคยเดินอยู่บนทางเดินที่ผิดพลาดอย่างมหันต์ แต่สุดท้ายแล้ว ด้วยความตั้งใจจริงที่จะกลับตัวกลับใจสู่ทางเดินใหม่ ก็ทำให้เธอสามารถเอาชนะใจตัวเอง แล้วกลับมายืนหยัดต่อสู้ด้วยลำแข้งของตัวเองได้อีกครั้ง
















ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น