เวลาจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้นเอง

อ่าน.......ขำๆ

วันเสาร์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2553

นักเดินเท้าใช้เวลากว่า 2 ปีพิชิตแม่น้ำอเมซอนทั้งสายคนแรก




เอ็ด สตัฟฟอร์ด กลายเป็นหนุ่มชาวอังกฤษคนแรกที่สามารถพิชิตแม่น้ำอะเมซอนได้สำเร็จ โดยเดินตั้งแต่ต้นกำเนิดลุ่มแม่น้ำอะเมซอน ไปจนถึงปากอ่าวเป็นผลสำเร็จ ใช้เวลาทั้งสิ้น 859 วัน หรือเกือบ 2 ปีครึ่ง ตลอดเส้นทาง 9,650 กิโลเมตร...


คลิกชมภาพต่อไป 

คลิกชมภาพต่อไป 


https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgk-SwgF6yGFTfVboy3IsuXuB2tq6w_HWDXlOs7RF03I4hIhCHsxmqESvw3OgCMZtgtz1IPwATYo7uXJm-ue7LzB0OSfBhsOulWh31B_aY1xJ_zUQvUEQ5c_1zhZV4HM0FUbWaH1j5WRkpl/s1600/amazon_trail.jpg









อดีตร้อยเอก เอ็ด สตัฟฟอร์ด วัย 34 ปี ชาวเมืองเลสเตอร์เชียร์ ตอนกลางของประเทศอังกฤษ กลายเป็นชาวอังกฤษคนแรกที่สามารถเดินตั้งแต่ต้นกำเนิดลุ่มแม่น้ำอะเมซอน สายที่ยาวเป็นอันดับ 2 ของโลก ไปจนถึงปากอ่าวเป็นผลสำเร็จ หลังเผชิญอุปสรรคโดนกองทัพยุงรุมกัด แมงป่องต่อย ถูกชนเผ่าอินเดียนจับเป็นตัวประกัน โรคผิวหนัง และเป็นลมอยู่ข้างถนน ห่างจากจุดหมายปลายทางเพียง 85 กิโลเมตร ก่อนที่จะลุกขึ้นยืนหลังพักไม่กี่ ชั่วโมง แล้วเดินต่อไปจนถึงหาดคริสปิม ตอนเหนือของบราซิล จุดสิ้นสุดของแม่น้ำอะเมซอน ที่จะไปสู่มหาสมุทรแอตแลนติก เมื่อช่วงเช้าวันจันทร์ 9 ส.ค. ตามเวลาท้องถิ่น ใช้เวลาทั้งสิ้น 859 วัน หรือเกือบ 2 ปีครึ่ง จากจุดเริ่มบนยอดเขามิสมิ ตอนใต้ประเทศเปรู เมื่อวันที่ 2 เม.ย.2551





เอ็ด สตัฟฟอร์ด


จุดประสงค์ของนักเดินเท้าสตัฟฟอร์ดคือ ต้องการให้ทุกคนตระหนักถึงภัยคุกคามป่าดงดิบอะเมซอน เพราะตลอดเส้นทาง 9,650 กิโลเมตร ทำให้เขามองเห็นการตัดไม้ทำลายป่าอย่างรุนแรง ทั้งที่เป็นผืนป่าที่ช่วยลดปัญหาภาวะโลกร้อน

ทั้งนี้ สตัฟฟอร์ดเริ่มต้นเดินทางกับนายลุค คอลล์เยอร์ นักผจญภัยเพื่อนร่วมชาติ ก่อนที่จะถอนตัวหลังผ่านไปได้ 3 เดือน แล้วไปพบเจ้าหน้าที่กรมป่าไม้เปรู ชื่อนายกาเดียล "โช" ซานเชซ ริเวรา ซึ่งขอร่วมเดินด้วยโดยตั้งใจเพียง 5 วัน แต่สุดท้ายก็เป็นเพื่อนเดินไปตลอดเส้นทาง ด้วยค่าใช้จ่าย 100,000 เหรียญสหรัฐฯ จากสปอนเซอร์และผู้บริจาค ประทังชีวิตด้วยการตกปลาปิรันย่า ข้าว และถั่ว รวมถึงซื้อของใช้ตามร้านค้าชุมชนตามริมฝั่ง

ขณะที่ เซอร์รานุลฟ์ เฟียนเนส นักสำรวจโลกชาวอังกฤษชื่อดัง ชื่นชมสตัฟฟอร์ดว่า เป็นเรื่องวิเศษโดยแท้ เพราะไม่มีใครเคยทำกับเส้นทางที่ไม่น่าจะผ่านพ้นชีวิตมาได้


ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก

ไทยรัฐ,ยูทูป และ CNN

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น