เวลาจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้นเอง

อ่าน.......ขำๆ

วันเสาร์ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2554

บทความ หน่วยทหารพลร่มนาซ๊เยอรมัน WWII

หน่วยทหารพลร่มของกองทัพนาซีเยอรมัน

หรือ ฟอลชริมเจเกอร์ (fallschirmjager)

สงครามโลกครั้งที่ 2


หน่วยพลร่มของเยอรมันในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 นั้น ถือ

ว่าเป็นหน่วยรบ ที่มีประสิทธิภาพสูงมากที่สุด หน่วยหนึ่งของ กองทัพนาซี

เยอรมัน ผู้นำนาซีเยอรมัน อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ มีความชื่นชม ในความสามารถ

ของทหารหน่วยพลร่ม เป็นอย่างมาก อาจจะเรียกได้ว่า ชื่นชมไม่ด้อยไปกว่า

ทหารหน่วย เอส เอส (waffen ss) ซึ่งเป็นหน่วยรบพิเศษ ประจำตัวของฮิตเลอร์เอง

คำว่า ฟอลชริมเจเกอร์ (fallschirmjager) นั้นในภาษาเยอรมันแปลว่า นักล่าจากจากท้องฟ้า

หน่วยพลร่มนี้ขึ้นตรงกับ กองทัพอากาศนาซีเยอรมัน หรือ ลุฟวาฟ

(luftwaffe) ซึ่งต่างจากกองทัพสหรัฐอเมริกา และอังกฤษ ที่หน่วยพลร่มจะขึ้น

ตรงกับกองทัพบกมากกว่า ที่จะขึ้นตรงต่อกองทัพอากาศ โดยหน่วยพลร่ม

หน่วยแรกของเยอรมันถูกก่อตั้งขึ้นในปี 1938 เริ่มต้นจากการรวบรวมกองพัน

ทหารพลร่ม มาเป็นกองพลปฏิบัติการทางอากาศที่ 7 (7th Flieger Division

หรือ 7th Air Division ในภาษาอังกฤษ) ซึ่งประกอบด้วยกรมทหารพลร่ม จำนวน 3 กรม

ความชื่นชมที่ฮิตเลอร์มีต่อหน่วยทหารพลร่มนี้ เกิดขึ้นมาจากความสามารถ

อันโดดเด่นของทหารพลร่ม ในช่วงต้นของสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยเฉพาะ

การกระโดดร่มเข้าโจมตีประเทศต่างๆ เช่น เดนมาร์ก นอรเวย์ เนเธอร์แลนด์ ในปี 1940




ภาพแสดงการแต่งกายของทหารพลร่มเยอรมัน ในสมัย

สงครามโลกครั้งที่ 2 สังเกตุได้ว่าหมวกเหล็กของพลร่มเยอรมัน จะแตกต่าง

จากหมวกเหล็กของทหารหน่วยอื่นๆ ตรงที่ส่วนขอบของหมวก ไม่ยื่นลงมา

ป้องกันบริเวณใบหูและศรีษะด้านหลัง เหมือนกับหมวกทหารนาซีเยอรมันทั่ว

ไป หมวกเหล็กของพลร่มเยอรมันนี้ รู้จักกันในนามของหมวกแบบ M1938


โดยเฉพาะที่เดนมาร์กนั้น ถือเป็นการปฏิบัติการรบครั้งแรก

ของหน่วยพลร่มเยอรมัน ซึ่งเกิดขึ้นในวันที่ 9 เมษายน 1940 ที่ทหารพลร่ม

เยอรมันจู่โจมเข้ายึดสนามบิน Aarhus นอกจากนี้ยังเข้าทำลายแนวต้านทาน

ของเบลเยี่ยม ที่ป้อม อีเบน อีเมล (Eben Emael) ได้อย่างรวดเร็ว จนเป็นที่

กล่าวขานกันไปทั่วว่า หน่วยฟอลชริมเจเกอร์ หรือ หน่วยทหารพลร่ม เป็น

หน่วยทหาร ที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลกหน่วยหนึ่ง ของนาซีเยอรมันในขณะนั้น

ขณะที่แสนยานุภาพทางอากาศของนาซีเยอรมัน ยังคงเกรียงไกรเหนือน่าน

ฟ้ายุโรป ทหารหน่วยนี้จะทำการรบโดยการส่งทางอากาศ หรือกระโดดร่มลง

เข้ายึดพื้นที่เป้าหมาย รวมทั้งใช้เครื่องร่อน (glider) เป็นพาหนะ ร่อนลงเหนือ

เป้าหมาย ดังเช่น การเข้ายึดป้อม อีเบน อีเมล ของเบลเยี่ยม ซึ่งทหารพลร่ม

เยอรมันจำนวน 85 นาย ลำเลียงโดยเครื่องร่อน 11 ลำ ร่อนลงเหนือป้อม

แล้วใช้ระเบิดแรงสูงทำลายป้อมต่างๆ ทีละป้อม จนทหารภายในป้อมยอมแพ้อย่างรวดเร็ว




ทหารพลร่มเยอรมัน กำลังพักผ่อน ภายหลังจากการเข้ายึด

ป้อม อีเบล อีเมล (Eben Emael) ของเบลเยี่ยมได้อย่างรวดเร็ว ในช่วงต้น

ของสงครามโลกครั้งที่ 2 ชัยชนะครั้งนี้ มีส่วนสำคัญ ที่ทำให้นาซีเยอรมันรุก

เข้ายุโรปได้อย่างรวดเร็ว เนื่องจากทำให้ฝรั่งเศสและอังกฤษ ไม่สามารถเตรียมการตั้งรับได้ทันท่วงที


ในภาพนี้คาดว่าจะเป็นกำลังพลของกองพลปฏิบัติการทาง

อากาศที่ 7 ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 1938 สองปีก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 จะอุบัติ

ขึ้น ต่อมากองพลนี้ได้รับการปรับเป็น กองพลพลร่มที่ 1 (1st Parachute

Division) โดยมีผู้บัญชาการกองพลคนแรกคือ พลตรี เคิร์ท สตูเด้นท์ (Kurt

Student) ซึ่งเป็นหนึ่งขุนพลที่จอมพล แฮร์มาน เกอริง ผู้บัญชาการกองทัพ

อากาศเยอรมัน ไว้วางใจเป็นอย่างยิ่ง

ในช่วงปลายของสงคราม เมื่อกองทัพอากาศของฝ่ายสัมพันธมิตร สามารถ

ครองอากาศได้ ประกอบกับยุทธวิธีของนาซีเยอรมัน เปลี่ยนจากการรุก เป็นการตั้งรับในทุกแนวรบ

พลร่มเยอรมันแทบจะหมดโอกาสในการกระโดดร่มลงยึดที่หมายอย่างฉับ

พลัน ตามหลักการรบแบบสายฟ้าแลบของนาซีเยอรมัน ทหารหน่วยนี้ก็ต้อง

ทำการรบแบบทหารราบทั่วไป แต่ประสิทธิภาพในการรบ ก็ยังคงเป็นที่น่า

เกรงขาม สำหรับทหารฝ่ายสัมพันธมิตรอยู่เช่นเดิม




ดังเช่นการรบที่แอนซิโอ และมองเตคาสิโน ในประเทศอิตาลี

ในปี 1944 ที่กำลังพลของหน่วยพลร่มเยอรมัน ได้สร้างความเสียหายให้กับทหารอังกฤษ และอเมริกาเป็นอย่างมาก

กองพลพลร่มที่ 9 (9th Fallschirmjager Division) คือหน่วยพลร่มหน่วยสุด

ท้ายของนาซีเยอรมัน ที่ถูกตั้งขึ้นในสงครามโลกครั้งที่ 2 ก่อนที่จะถูกทำลาย

ลงอย่างสิ้นเชิง ในการรบป้องกันกรุงเบอร์ลิน ในเดือนเมษายน 1944




ภาพแสดงหมวกเหล็กของทหารพลร่มเยอรมันในสมัยสงคราม

โลกครั้งที่สอง จะเห็นสัญญลักษณ์ของกองทัพอากาศนาซีเยอรมัน หรือ ลุ

ฟวาฟ (Luftwaffe) ปรากฏอยู่ด้านซ้ายของหมวก เป็นรูปนกอินทรีกางปีก

เกาะอยู่บนเครื่องหมายสวัสดิกะ อันเป็นเครื่องหมายของพรรคนาซี ส่วนอีก

ด้านของหมวกจะเป็นแถบสีธงชาติเยอรมัน ดำ ขาว แดง ส่วนสายรัดคางนั้น

จะเพิ่มเป็นสองจุด เพื่อทำให้เกิดความกระชับ เมื่อกำลังพล ต้องกระโดดออก

มาจากเครื่องบิน ท่ามกลางสายลมที่พัดแรง และต้องรับแรงกระแทกเพื่อลงสู่พื้นดิน




การส่งสัมภาระทางอากาศของหน่วยพลร่มเยอรมัน ในสมัย

สงครามโลกครั้งที่ 2 เครื่องบินในภาพคือ เครื่องบินแบบ จุงเกอร์ เจ ยู 52

(Junker Ju 52) ซึ่งเป็นเครื่องบินลำเลียงหลัก ของกองทัพอากาศเยอรมัน จุ

งเกอร์ เจ ยู 52 เป็นเครื่องบินแบบ สามเครื่องยนต์ สองเครื่อง

ยนต์ที่ปีก และหนึ่งเครื่องยนต์ที่หัวเครื่องบิน รูปร่างของเครื่องแบบนี้ ได้รับ

การกล่าวขานว่า เทอะทะ ไม่มีความสวยงาม แต่แท้จริงแล้ว เครื่องจุงเกอร์

เจ ยู 52 เป็นเครื่องบินที่มีเครื่องยนต์สภาพเยี่ยม และไว้วางใจได้ ทำให้กอง

ทัพอากาศเยอรมัน บรรจุเครื่องบินแบบนี้ เข้าประจำการเป็นเครื่องบินลำเลียง

หลักของกองทัพ และใช้งานตลอดสงคราม

เครื่องบินจุงเกอร์ เจ ยู 52 เป็นเครื่องบินหลัก ที่ใช้ในการลำเลียงทหารพล

ร่ม ของกองทัพอากาศเยอรมัน เข้าสู่ที่หมาย นับตั้งแต่การรุกเข้าสู่ยุโรปใน

ช่วงต้นของสงคราม ทั้งการรุกเข้าสู่ เนเธอร์แลนด์ นอรเวย์ และสงครามใน
การยึดเกาะครีต (Crete)




การรุกสู่เกาะครีต (Crete) ของทหารพลร่มเยอรมัน ภาพนี้ถ่าย

บริเวณเมือง Heraklion ในวันที่ 20 พ.ค. 1941 จะเห็นเครื่องบินแบบ จุ

งเกอร์ เจ ยู 52 ถูกยิงไฟลุกท่วม และกำลังตกลงสู่พื้น ในขณะที่ท้องฟ้า เต็ม

ไปด้วยพลร่มเยอรมัน ที่โดดลงเพื่อยึดที่หมาย


เยอรมันใช้เครื่องบินลำเลียง ซึ่งรวมทั้งจุงเกอร์ เจ ยู 52

จำนวน 493 ลำ เครื่องร่อน 72 ลำ นำพลร่มเข้าสู่ที่หมายในครีต นอกจาก

เครื่องบินลำเลียงแล้ว ยังมีเครื่องทิ้งระเบิด 228 ลำ เครื่องดำดิ่งทิ้งระเบิด

245 ลำ และเครื่องบินขับไล่ 233 ลำ และเครื่องบินตรวจการณ์อีก 50 ลำ

รวมทั้งสิ้นกว่า 700 ลำ เข้าร่วมในการรุกครั้งนี้ด้วย

การยึดเกาะครีต เป็นการรุกที่ใช้กำลังพลร่มเป็นหัวหอก โดยใช้กำลังพลจาก

กองพลปฏิบัติการทางอากาศที่ 7 (7th Flieger Division) เป็นกำลังหลัก

สนับสนุนโดยทหารราบอีก 3 กรมทหารราบ นับว่าเป็นการปฏิบัติการ โดยการ

ใช้กำลังทหารพลร่มครั้งใหญ่ที่สุดของกองทัพเยอรมัน และต้องประสบกับ

ความสูญเสียอย่างหนัก โดยพลร่มเยอรมันเสียชีวิตถึงกว่า 4,000 นาย บาด

เจ็บ สูญหายอีกกว่า 2,500 นาย กำลังพลเหล่านี้ บางส่วนเสียชีวิตก่อนจะลง

ถึงพื้นดินเสียอีก เนื่องจากถูกทหารสัมพันธมิตร ระดมยิงขณะอยู่ในท้องฟ้า

กำลังพลที่สูญเสียไปเหล่านี้ ล้วนเป็นทหารชั้นยอด ที่ผ่านการฝึกมาอย่างดี

และไม่สามารถทดแทนได้ในระยะเวลาอันจำกัด ความสูญเสียอันยิ่งใหญ่นี้

ทำให้เยอรมันไม่เคยใช้หน่วยพลร่ม เป็นหัวหอกในการรุกครั้งใหญ่อีกเลย




วันที่ 20 พ.ค. 1941 พลร่มของกองพลปฏิบัติการทางอากาศ

ที่ 7 โรยตัวลงสู่พื้นดินบนเกาะครีต ในเวลานั้น เกาะครีตมีกำลังทหาร

สัมพันธมิตร มากกว่าทหารเยอรมันถึงสองเท่า คือมีจำนวนถึง 42,500 คน

ประกอบด้วยทหารออสเตรเลีย 6,450 คน ทหารนิวซีแลนด์ 7,700 คน ที่เพิ่ง

ถอยทัพมาจากประเทศกรีซ ภายหลังจากเยอรมันเข้ายึดครอง ทหารกรี

กอีกกว่าหมื่นคน และทหารอังกฤษอีกจำนวนหนึ่ง ทหารนิวซีแลนด์คนหนึ่ง

กล่าวว่า "ท้องฟ้าเต็มไปด้วยเครื่องบินเยอรมัน บินลำต่อลำ เป็นแนวยาวจาก

ขอบฟ้าหนึ่ง ไปยังอีกขอบฟ้าหนึ่ง เหมือนฝูงนกที่กำลังอพยพไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด


ทหารเยอรมันจำนวนมาก กระโดดร่มออกจากเครื่อง ได้ถูก

ทหารสัมพันธมิตรสังหารขณะที่ไม่มีทางต่อสู้ หรือไม่มีทางป้องกันตัวเอง โดย

เฉพาะขณะที่กำลังลอยอยู่กลางท้องฟ้าภายใต้ร่มชูชีพสีขาว พลตรี Meindl

ผู้บังคับหน่วยคนหนึ่งของพลร่มเยอรมัน ก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสก่อนลงถึงพื้น จนไม่สามารถบัญชาการรบได้

ทหารเยอรมันลงสู่พื้นทุกหนทุกแห่ง บางแห่งพวกเขาก็เริ่มทำการรบกับทหาร

สัมพันธมิตร โดยปราศจากผู้นำ เนื่องจากผู้บังคับหน่วยเสียชีวิต บาดเจ็บ

หรือพลัดหลงจากหน่วยของตน สนามบินที่ Maleme ถูกพลร่มเยอรมันเข้ายึด

อย่างรวดเร็ว ทั้งนี้จากความกล้าหาญของนักบินประจำเครื่องบินจุงเกอร์ เจ

ยู 52 จำนวนหนึ่ง ที่นำเครื่องบินฝ่ากระสุนปืนนานาชนิด ร่อนลงจอดฉุกเฉิน

บริเวณสนามบิน ก่อนที่พลร่มที่อยู่ในเครื่องแต่ละลำ จะกระจายกำลังกันเข้ายึดสนามบินได้

ในช่วงแรกของการรบ เยอรมันไม่สามารถควบคุมพื้นที่ได้มากนัก จนกระทั่ง

กำลังสนับสนุนมาถึง นำโดยกองพลภูเขาที่ 5 การรบจึงเปลี่ยนมาเป็นฝ่าย

เยอรมันได้เปรียบ และสามารถยึดเกาะครีตได้ในที่สุด




ทหารพลร่มเยอรมัน ขณะกำลังปีนขึ้นเครื่องบินลำเลียง เพื่อ

ทำการฝึกซ้อมการกระโดดร่ม แนวความคิดในการใช้ทหารพลร่มในการรบ

ของเยอรมัน ในสมัยก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 นับว่าเป็นแนวความคิดใหม่ แต่

เป็นแนวความคิดที่สอดคล้องกับการรบแบบสายฟ้าแลบ ที่เยอรมันนำมาใช้

โดยพลตรี เคริท์ สตูเด้นท์ (Kurt Student) ผู้บัญชาการกองพลปฏิบัติการ

ทางอากาศที่ 7 ซึ่งภายหลังได้รับการปรับเป็นกองพลพลร่มที่ 1


เคิร์ทเป็นอดีตเสืออากาศเยอรมันในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1

เป็นผู้ที่ฮิตเลอร์นิยมชมชอบเป็นส่วนตัว ได้ริเริ่มแนวความคิดการใช้หน่วยพล

ร่มในการรบขึ้น รวมทั้งเขายังเป็นผู้ริเริ่มแผนการบุกเกาะครีต โดยการใช้

ทหารพลร่มเป็นกำลังหลัก แม้ว่าฮิตเลอร์จะไม่มั่นใจในความสำเร็จ แต่สตู

เด้นท์ก็โน้มน้าวให้ผู้นำเยอรมัน ตกลงใจ ใช้ทหารพลร่มบุกเกาะครีต และ

ประสบความสำเร็จในที่สุด แต่ก็นำมาซึ่งความสูญเสียอย่างหนัก

เหล่าพลร่มกรูกันออกจากเครื่อง เข้ายึดพื้นที่รอบสนามบินอย่างรวดเร็ว ใน

ขณะที่พลร่มจากกรมทหารพลร่มที่ 3 ของกองพลพลร่มที่ 7 จะโรยตัวลงสู่พื้น

ดินบนเกาะครีต บริเวณ Khania กรมทหารพลร่มที่ 2 เข้าโจมตี Rethimnon

และกรมทหารพลร่มที่ 1 เข้ายึด Heraklion

นับจากวันที่ 20 พ.ค. การรบจะดำเนินไปอย่างนองเลือด จนกระทั่งฝ่าย

สัมพันธมิตร ซึ่งอยู่ใต้การบังคับบัญชาของพลตรี Freyberg ผู้ซึ่งเดินทางมา

ถึงครีต เพียงสามสัปดาห์ก่อนการบุกของเยอรมัน จะยอมแพ้อย่างเด็ดขาดใน

วันที่ 30 พ.ค. ท่ามกลางความสูญเสียอย่างหนักของทั้งสองฝ่าย โดยทหาร

สัมพันธมิตรเสียชีวิต 1,800 คน ถูกจับเป็นเชลย 12,000 คน ทหารเรือ

อังกฤษเสียชีวิต 1,828 คน บาดเจ็บ 183 คน ถอยไปได้อย่างปลอดภัย

18,000 คน ในขณะที่เยอรมัน เสียทหารไปถึง 4,000 คน บาดเจ็บ 2,500
คน




แผนที่เกาะครีต ที่หน่วยพลร่มเยอรมัน กองพลปฏิบัติการทาง

อากาศที่ 7 บุกเข้าโจมตีในวันที่ 20 พ.ค. 1941 จากมุมซ้ายของแผนที่ จะ

เห็นสนามบิน Maleme ซึ่งถูกฝูงบินทิ้งระเบิด และฝูงบินขับไล่เยอรมัน โจมตี

ในช่วงรุ่งอรุณ สร้างความเสียหายให้กับหน่วยปืนต่อสู้อากาศยานรอบสนาม

บินเป็นอย่างมาก ก่อนที่เครื่องบินลำเลียงแบบ จุงเกอร์ เจ ยู 52 ลำเลียงพล

ร่มของกรมจู่โจมที่ 1 กองพลพลร่มที่ 7 จะร่อนลงฉุกเฉิน ในบริเวณสนามบิน


ตามข้อเท็จจริงแล้ว สัมพันธมิตรทรบล่วงหน้าถึงแผนการบุก

ของฝ่ายเยอรมัน ก่อนหน้านี้แล้ว อันเป็นผลมาจาก การถอดรหัสอีนิกม่า

(Enigma) ของฝ่ายเยอรมันได้ แต่ทหารสัมพันธมิตรก็อยู่ในสภาพที่ขาด

แคลน อาวุธ ยุทโธปกรณ์ ยานยนต์ อย่างมากมาย เนื่องจากถอยร่นมาจากกรี

ก ในสภาพที่แตกกระสานซ่านเซ็น ทำให้ทหารสัมพันธมิตรที่จำนวนมากกว่า

เยอรมันผู้รุกรานถึงสองเท่า ไม่สามารถต้านทานได้

ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง ได้มีการวิเคราะห์ถึงการสูญเสียอย่าง

มากของทหารพลร่มเยอรมัน ในการรบที่เกาะครีต การวิเคราะห์พบว่า การใช้

พลร่มเป็นกำลังหลักในการรุกนั้น จำเป็นจะต้องกระทำด้วยความรวดเร็ว ฉับ

พลัน โดยที่ข้าศึกไม่รู้ตัวมาก่อน เนื่องจากการส่งทางอากาศขนาดใหญ่ มี

ความเสี่ยงต่อการสูญเสียสูงมากหากข้าศึกทราบล่วงหน้า

แต่การรบที่เกาะครีตนั้น ฝ่ายสัมพันธมิตรทราบล่วงหน้าถึงแผนการบุก จึง

ตอบโต้ได้อย่างรุนแรง เหตุการณ์เดียวกันนี้ ก็เกิดขึ้นกับฝ่ายสัมพันธมิตร ใน

การส่งทางอากาศครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ครั้งหนึ่ง ในยุทธการ

มาร์เก็ต การ์เดน (Operations Market - Garden) ในประเทศเนเธอร์แลนด์

ในปี 1944 ซึ่งก็จบลงด้วยความสูญเสียขนาดใหญ่ของฝ่ายสัมพันธมิตรเช่นเดียวกัน

สำหรับการรบที่มองเต คาสิโน (Monte Casino) ในประเทศอิตาลีนั้น กอง

พลพลร่มที่ 1 (1st Fallschirmjager Division) ซึ่งเดิมคือกองพลปฏิบัติการ

ทางอากาศที่ 7 นั่นเอง ได้ทำการรบแบบทหารราบ โดยดัดแปลงที่มั่นที่ถูก

ฝ่ายสัมพันธมิตรโจมตีทั้งทางอากาศ และอาวุธหนัก เป็นป้อมปราการที่แข็ง

แกร่ง พวกเขาสามารถต้านทานการรุกของสัมพันธมิตรได้นานนับเดือน และ

เนื่องจากทหารเหล่านี้สวมใส่ชุดคลุมสีเขียว จึงได้รับการตั้งฉายาจากทหาร

ของสัมพันธมิตรว่า ปีศาจสีเขียว (Green Devils)




การแต่งกายของทหารพลร่มเยอรมัน ในการโจมตีเกาะครีต ใน

ปี 1941 จะเห็นเสื้อคลุมสีเขียว (smock) ที่สวมทับเสื้อเครื่องแบบสีเทาของกองทัพอากาศเยอรมัน




ทหารพลร่มเยอรมัน หรือ ฟอลชริมเจเกอร์ ที่ได้รับเหรียญ

กางเขนเหล็ก จากความกล้าหาญในการโจมตีป้อมอีเบน อีเมล (Eben

Emael) ของเบลเยี่ยม ในช่วงต้นสงครามโลกครั้งที่ 2 ถ่ายภาพร่วมกับผู้นำ

นาซีเยอรมัน อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ พลร่มเหล่านี้ยังต้องเผชิญกับสงครามที่หนัก

หน่วง ตลอดช่วงสี่ปีข้างหน้าของสงคราม โอกาสแห่งการรอดพ้นจากความ

สูญเสียดูมีไม่มากนัก สำหรับนักรบผู้กล้าแห่งกองทัพอากาศเยอรมันเหล่านี้


การบุกโจมตีป้อมอีเบน อีเมล เปิดฉากขึ้นในรุ่งอรุณของวันที่

11 พฤษภาคม 1940 ภายหลังจากที่มีการเตรียมความพร้อม และการซักซ้อม

การบุกทำลายป้อมแห่งนี้มาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 1939

โดยหน่วยที่ร่วมทำการบุก จะถูกแยกออกจากโลกภายนอก ทั้งหน่วยพลร่ม

และหน่วยทหารช่าง เพื่อทำการฝึกฝนจนเกิดความชำนาญ โดยพลร่มที่เข้า

โจมตีป้อมเป็นกำลังพลจากกองพันที่ 1 กรมพลร่มที่ 1 (1st Battalion, 1st

Parachute Regiment) และทหารช่างที่จะข้ามเครื่องกีดขวางเข้าไปสมทบ

กับทหารพลร่ม จัดจาก กองร้อยทหารช่าง กองพันที่ 2 กรมพลร่มที่ 1

(Pioneer company, 2nd Battalion, 1st Parachute Regiment)




หน่วยพลร่มของเยอรมัน ควบคุมตัวเชลยศึกสัมพันธมิตร ภาย

หลังจากเข้ายึดเกาะครีตได้แล้ว การรบบนเกาะครีตดำเนินไปถึง 10 วัน จน

กว่าทหารสัมพันธมิตรจะยอมแพ้ และล่าถอยจากเกาะครีตไปทั้งหมด อังกฤษ

พยายามอย่างมากในการสกัดกำลังหนุนของเยอรมัน ซึ่งเป็นทหารราบ

จากกรมทหารราบอีก 3 กรม เพื่อโดดเดี่ยวทหารพลร่มบนเกาะ แต่กองทัพ

อากาศเยอรมันก็ทำลายกองเรือของอังกฤษ ที่วางกำลังสกัดกั้นเรือลำเลียงที่

จะลำเลียงทหารราบเยอรมัน จนได้รับความเสียหายอย่างหนัก โดยเยอรมัน

สามารถจมเรือประจัญบานและเรือขนาดใหญ่ของอังกฤษได้ 6 ลำ อีก 2 ลำได้รับความเสียหายอย่างหนัก



ส่วนทหารราบเยอรมันที่เป็นกำลังหนุน ก็สามารถยกพลขึ้นบกที่เกาะครีตได้

และเข้าร่วมกับทหารพลร่มเยอรมัน ทำการกวาดล้างทหารสัมพันธมิตรที่หลง
เหลืออยู่ จนยอมแพ้ในที่สุด




ทหารพลร่มเยอรมัน จากกองพลพลร่มที่ 1 (1st Parachute

Division) ซึ่งเดิมคือกองพลพลร่มที่ 7 ที่ทำหน้าที่บุกยึดเกาะครีต กำลังรอ

การบุกเข้ามาของทหารสัมพันธมิตร ในสมรภูมิที่มองเต คาสิโน (Monte Cassino) ในประเทศอิตาลี ในปี 1944


ปืนใหญ่ที่เห็น คือปืนใหญ่ของรถถังแบบ Stug III ซึ่งเป็นรถถัง

สนับสนุนทหารราบ โปรดสังเกตุระเบิดขว้างที่วางเรียงอยู่ที่ผนังเหนือศรีษะของทหารที่นั่งอยู่กับพื้น

จากปี 1940 จนถึงปี 1944 ทหารพลร่มเยอรมัน ทำการรบในสมรภูมิต่างๆทุก

สมรภูมิ ด้วยความกล้าหาญ เคียงข้างกับทหารราบ และทหารหน่วยอื่นๆของ

กองทัพเยอรมัน เป็นการรบที่สร้างชื่อเสียงให้กับเหล่าฟอลชริมเจเกอร์ หรือ

ทหารพลร่มเยอรมัน จนได้รับการจัดอันดับให้เป็นหน่วยรบชั้นยอด (Elite

Force) ของสงครามโลกครั้งที่ 2 หน่วยหนึ่ง

การรบที่มองเต คาสิโนนี้ ทหารพลร่มเยอรมันต้องพบกับ พลตรี Freyberg ผู้

บัญชาการทหารสัมพันธมิตรที่ต้องพ่ายแพ้ต่อเยอรมันในเกาะครีต ที่กลับมา

บัญชาการทหารสัมพันธมิตร ในการบุกเข้าอิตาลี แต่ต้องพบกับการต้าน

ทานอย่างเด็ดเดี่ยวที่มองเต คาสิโน ฝูงบินสัมพันธมิตรทิ้งระเบิดถล่มศาสน

สถานและเมืองจนกลายเป็นซากปรักหักพัง แต่ทหารพลร่มเยอรมันก็อาศัย

ซากปรักหักพังเหล่านี้ เป็นป้อมปราการในการป้องกันที่มั่นของตน

สมรภูมิที่คาสิโนสร้างความเสียหายให้กับทหารสัมพันธมิตรเป็นอย่างมาก

ทหารสหรัฐอเมริกาต้องเสียชีวิต บาดเจ็บและสูญหายไปกว่า 22,000 คน ซึ่ง

เท่าๆกับยอดผู้สูญเสียฝ่ายอังกฤษ ในขณะที่ทหารเยอรมันกลับสูญเสียเพียง

เล็กน้อย และสามารถล่าถอยไปได้ ก่อนที่กองกำลังฝรั่งเศสเข้ายึด Monte

Majo ได้ในวันที่ 13 พ.ค. 1944 และกองกำลังโปแลนด์ยึด Monte

Cassino ได้ในวันที่ 17 พ.ค. 1944




ทหารพลร่มเยอรมันในการรบที่ตูนีเซีย (Tunisia) ในปี 1943

ทหารคนที่อยู่หน้าสุด มีปืนกลมือแบบ MP 40 ขนาด 9 มม. เป็นอาวุธประจำ

กาย อาวุธชนิดนี้ เหมาะสำหรับทหารพลร่มเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากมีขนาด

กะทัดรัด ไม่ยาวเกะกะ หรือสร้างปัญหาให้กับทหาร เมื่อต้องกระโดดออกจาก
เครื่องบิน และลงสู่พื้น


แต่การรบที่ตูนีเซีย ทหารพลร่มเหล่านี้ ไม่ได้กระโดดลงมา

จากฟากฟ้าเหมือนในช่วงต้นของสงครามอีกต่อไปแล้ว พวกเขาทำการรบ

แบบทหารราบ เคลื่อนพลด้วยยานพาหนะทางบก แต่ประสิทธิภาพ และความ

สามารถ ของทหารพลร่มเหล่านี้ ก็ไม่ได้ลดลงแต่อย่างใด

หน่วยพลร่มเยอรมันที่ทำการรบในตูนีเซีย เป็นหน่วยที่ทำการรบในแอฟริกา

ในนามของหน่วยแอฟริกา คอร์ (Afrika Korps) ซึ่งอยู่ภายใต้การบังคับ

บัญชาของ จอมพลเออร์วิน รอมเมล (Erwin Rommel) ซึ่งหลังจากความพ่าย

แพ้ในแอฟริกาที่ เอล อลาเมน (El Alamain) แล้ว หน่วยแอฟริกา คอร์ ก็ย้าย

มาทำการรบที่ตูนีเซีย ก่อนจะพบจุดจบทั้งหน่วย ด้วยการพ่ายแพ้ต่อสัมพันธ

มิตร เป็นการปิดตำนานความกล้าหาญของหน่วยแอฟริกา คอร์ โดยเฉพาะ

กองพลยานเกราะที่ 21 (21st Panzer Division) อันลือชื่อ และหน่วยพลร่มที่ร่วมอยู่ในแอฟริกา คอร์นี้ด้วย




ภาพแสดงหมวกของทหารพลร่มเยอรมันด้านขวา ที่ติดแถบ

ธงชาติเยอรมัน สี ดำ ขาว แคง ไว้ ในขณะที่อีกด้านเป็นสัญญลักษณ์ของ

กองทัพอากาศเยอรมัน (Luftwaffe) ในภาพจะเห็นสายรัดคาง ที่ออกแบบมา
เป็นอย่างดี เพื่อความกระชับ ในขณะสวมใส่




ภาพหมวกของทหารพลร่ม ที่ปฏิบัติการรบในแอฟริกา ในนาม

หน่วยแอฟริกา คอร์ (Afrika Korps) สีหมวกถูกเปลี่ยนเป็นสีกากี เพื่อพรางให้เข้ากับภูมิประเทศที่เป็นทะเลทราย




ภาพนี้แสดงให้เห็นถึง เครื่องแบบของทหารพลร่มเยอรมัน

โดยปกติเมื่อออกสู่สนามรบ ทหารเหล่านี้จะใส่เสื้อคลุมสีเขียว หรือสีพราง

ทับเครื่องแบบสีเทานี้ ซึ่งเป็นเครื่องแบบของกองทัพอากาศเยอรมัน อย่างไร

ก็ตาม เป็นเรื่องปกติ ที่ทหารพลร่มเยอรมันจะทำการรบในชุดปกติสีเทาที่เห็น

อยู่ข้างบน โดยไม่สวมเสื้อคลุมทับแต่อย่างใด


หมวกเหล็กสีเทาดำนี้ เป็นหมวกเหล็กที่ถูกออกแบบมาในปี

1938 เพื่อทหารพลร่มโดยเฉพาะ เหรียญกางเขนเหล็ก (Tron Cross) ที่ติด

อยู่ที่หน้าอก เป็นเหรียญกางเขนเหล็กชั้นที่ 1 ใต้เหรียญกางเขนเหล็กลงมา

เป็นเหรียญแสดงความสามารถในการกระโดดร่ม (the parachute

qualification badge) เป็นรูปนกอินทรี เกาะอยู่บนเครื่องหมายสวัสดิกะ

กำลังพุ่งโฉบลงหาเหยื่อเบื้องล่าง ล้อมรอบด้วยช่อใบโอ็ค ซึ่งผู้ที่จะได้รับ

เครื่องหมายนี้ จะต้องผ่านการกระโดดร่มมาไม่น้อบกว่า 6 ครั้ง ตัวนกอินทรีทำ

ด้วยทองแดงผสมนิเกล อัลลอย ส่วนเครื่องหมายที่ประดับอยู่ที่หน้าอกอีก

ด้าน เป็นเครื่องหมายของกองทัพอากาศเยอรมัน (German Air Force

Eagle) เช่นเดียวกับที่ติดอยู่ข้างหมวก

เครื่องหมายยศที่คอปกเสื้อ ซึ่งมีแถบสีเหลือง และรูปนกกางปีกสีเงิน 4 ปีก

เป็นสัญญลักษณ์ ของนายทหารประทวน ชั้นต่ำกว่าสัญญาบัตร (NCO -

Non commission officer) โดยปีกนกสีเงิน 1 ปีก แสดงถึงชั้นยศพลทหาร (private)




ทหารพลร่มของเยอรมัน ขณะทำการฝึก ในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 โป

รดสังเกตุเสื้อเครื่องแบบ ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของทหารพลร่มเยอรมัน

ในช่วงต้นของสงคราม




ทหารพลร่มเยอรมัน ขณะรุกเข้าสู่ป่าอาร์เดนส์ (Ardennes)

ในประเทศเบลเยี่ยม ในปลายปี 1944 โดยนั่งอยู่บนรถถังแบบ King Tiger ที่

ทรงอานุภาพ หน่วยพลร่มที่เข้าร่วมในการรบในสมรภูมิแห่งนี้ ประกอบไป

ด้วย กำลังพลจากกรมพลร่มที่ 9 (9th Parachute Regiment) ของกองพล

พลร่มที่ 3 ซึ่งขึ้นการบังคับบัญชากับกองทัพที่ 15 รุกไปทางเหนือ กองพล

พลร่มที่ 5 เป็นส่วนหนึ่งของกองทัพที่ 7 ซึ่งกองพลนี้สามารถประเดิมชัยชนะ

ให้เยอรมันในการรุกครั้งนี้ โดยสามารถจับเชลยอเมริกันได้กว่า 1,000 คน รถ

ถัง M 4 เชอร์แมนอีก 25 คัน


แม้ว่าการรบครั้งนี้ จะเป็นการรบแบบทหารราบของทหารพลร่ม

เยอรมัน แต่ก็ถือว่าเป็นการรบของหน่วยพลร่มครั้งสุดท้าย ภายใต้ชื่อ

รหัส "สตอสเซอร์" (Stosser) เพื่อสนับสนุนการรุกของทหารเยอรมันหน่วยอื่นๆ

ฮิตเลอร์ทุ่มเททุกอย่างที่มี ในการรุกเข้าสู่ทหารสัมพันธมิตร ในสมรภูมินี้ ทั้ง

อาวุธชั้นเยี่ยม และทหารชั้นยอด ไม่ว่าจะเป็นหน่วย เอส เอส และหน่วยทหาร

พลร่ม ภายใต้ชื่อยุทธการ Watch on the Rhine เพื่อตัดกองทัพน้อยที่ 8

ของสหรัฐอเมริกาออกเป็นช่องว่าง แล้วรุกเข้าสู่แม่น้ำเมิร์ส (Meuse) ก่อนที่

จะเข้ายึดอานท์เวอร์ป (Antwerp) เป็นที่หมายสุดท้าย

กำลังพลของเยอรมันมีกำลังพลสูงถึง 200,000 คน ภายใต้การนำของจอม

พล เกิร์ด ฟอน รุดสเท็ดท์ (Gerd von Rundstedt) แต่ในท้ายที่สุด ไม่ว่าจะ

ใช้ทหารที่เยี่ยมยอด หรืออาวุธอันทรงอานุภาพเพียวใด ทหารเยอรมันก็ต้อง

พ่ายแพ้ เพราะไม่สามารถยึดเมืองบาสตอง (Bastogne) และถูกตีถอยร่นกลับไปในประเทศเยอรมันอีกครั้ง

การรบในครั้งนี้ ทหารพลร่มเยอรมัน ที่ทำการรบแบบทหารราบ ต้องประสบกับ

ความสูญเสียอย่างหนัก เช่นเดียวกับทหารเยอรมันหน่วยอื่นๆ ที่เข้าสู่สมรภูมิ

ที่ป่าอาร์เดนส์แห่งนี้ กระแสน้ำแห่งความชัยชนะของเยอรมัน เมื่อครั้งเริ่ม

สงครามโลกครั้งที่ 2 ไม่มีวันไหลกลับมาสู่อาณาจักรไรซ์ที่ 3 อันเกรียงไกร
ของนาซีเยอรมันอีกต่อไปแล้ว




ทหารหน่วยพลร่มของเยอรมัน กำลังหลบกระสุนปืนใหญ่ของ

ยานเกราะอังกฤษ ในการรบที่ตูนีเซีย ณ เมือง Tebouba-Djedeida ในวันอาทิตย์ที่ 29 พฤศจิกายน 1942


ทหารพลร่มเหล่านี้ เพิ่งเดินทางมาจากประเทศอิตาลี เพื่อ

สกัดกั้นการรุกเข้ามาของฝ่ายสัมพันธมิตร ฝ่ายเยอรมันมีกำลังพลกว่าหกหมื่น

คน ประกอบด้วย ทหารเยอรมัน 47,000 คน ทหารอิตาลี 18,000 คน จัด

กำลังเป็นกองทัพยานเกราะที่ 5 (5th Panzerarmee) ภายใต้การนำของพล

เอก ฮันส์ เจอร์เก้น ฟอน อาร์นิม (Hans Jurgen von Arnim) กำลังเหล่านี้จะ

สมทบกับกำลังของหน่วยแอฟริกา คอร์ (Afrika Korps) ของจอมพลเออร์วิน รอมเมล ที่ถอยมาจากแอฟริกา

ในขณะที่กำลังฝ่ายสัมพันธมิตร มีกำลังประมาณ 110,000 คน ส่วนใหญ่เป็น

ทหารสหรัฐอเมริกา ภายใต้ชื่อแผนยุทธการในการบุกครั้งนี้ว่า Torch ซึ่งการ

รุกของสัมพันธมิตรในครั้งนี้ ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม และชื่อของนาย

พล จอร์จ เอส แพทตัน (George S. Patton) ก็ปรากฏขึ้นบนหน้าประวัติ

ศาสตร์นับจากนั้นมา เนื่องจากแพทตัน เป็นผู้บัญชาการกองพลน้อยที่ 2 ที่

ยกพลขึ้นที่ซิซิลี (Sicily) และได้สร้างผลงานในการบัญชาการรบที่นี่ไว้อย่าง

ยิ่งใหญ่ โปรดสังเกตทหารพลร่มคนขวาสุดของภาพ เป็นพลประจำเครื่องพ่น
ไฟ โดยจะเห็นถังเชื้อเพลิงอยู่ที่หลัง




ทหารพลร่มเยอรมัน ในการรบที่นอร์มังดี ประเทศฝรั่งเศส ใน

เดือนมิถุนายน ปี 1944 หน่วยพลร่มที่ทำการรบที่นอร์มังดีประกอบด้วย กอง

ทัพน้อยพลร่มที่ 1 กองทัพน้อยพลร่มที่ 2 กองพลพลร่มที่ 2 กองพลพลร่มที่

3 และกองพลพลร่มที่ 5 รวมทั้งกรมพลร่มที่ 6 ที่ทำการรบที่คาเรนแทน

(Carentan) ซึ่งปรากฏในภาพยนตร์เรื่อง Band of Brother กำลังพลของ

หน่วยพลร่มเหล่านี้ ส่วนใหญ่มีอายุอยู่ที่เฉลี่ย 17 ปี เท่านั้น พวกเขาถูกนำมา
ฝึกทดแทนกำลังพลที่สูญเสียไป


ทหารเหล่านี้ปฏิบัติการรบอย่างกล้าหาญ ในการต้านทานการ

บุกขึ้นฝั่งของฝ่ายสัมพันธมิตร แต่เนื่องจากขาดแคลนการสนับสนุนในทุกๆ

ด้าน ไม่ว่าจะเป็นอาวุธหนัก ยานเกราะ ซึ่งล้วนตกเป็นเหยื่อของเครื่องบิน

สัมพันธมิตร ทหารพลร่มของเยอรมันจำนวนมาก เสียชีวิตในการรบที่นอร์มังดีแห่งนี้




ทหารหน่วยพลร่มของเยอรมัน 3 คน สังกัดกรมพลร่มที่ 6

เสียชีวิตในการรบที่ Sainteny คาเรนแทน (Carentan) ประเทศฝรั่งเศส ใน

ห้วงการรบในวันดี เดย์ ด้านหลังจะเห็นรถ Schiwmmwagen VW 166 ถูก

ทำลาย โดยมีทหารอเมริกัน 2 คน ซึ่งสังกัดกองพลทหารราบที่ 4 (4th

Infantry Division) กำลังตรวจสอบอยู่ ทหารอเมริกันคนหนึ่งมีตรา

สัญญลักษณ์กาชาด ติดอยู่ที่ปลอกแขน




ทหารพลร่มเยอรมัน ในการรบที่นอร์มังดี ประเทศฝรั่งเศส ใน

เดือนมิถุนายน ปี 1944 พวกเขากำลังตั้งรับ รอการบุกของกองทัพน้อยที่ 19

ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งการโจมตีมีขึ้นในวันที่ 3 กรกฎาคม 1944 ท่ามกลางฝน

ที่ตกลงมาอย่างหนัก โปรดสังเกตุระเบิดขว้างที่วางอยู่ แสดงให้เห็นว่า การ

รบแบบประชิดตัวกำลังจะมีขึ้น


กำลังพลของเยอรมันส่วนนี้ เป็นส่วนหนึ่งของกองทัพที่ 7 ที่

สูญเสียอย่างหนัก และร้องขอกำลังสนับสนุนจากจอมพล กุนเธอร์ ฟอน

คลุก (Field Marchal Gunther von Kluge) แต่ความหวังของพวกเขาที่จะ

ได้รับในสิ่งที่ร้องขอ ดูเลือนลางเต็มที อันเนื่องมาจากการครองอากาศของ

เครื่องบินสัมพันธมิตร บวกกับความขาดแคลนของกองทัพเยอรมันเอง




ชุดเครื่องยิงลูกระเบิด หรือ ปืน ค. ของกองพลพลร่มที่ 3 ใน

การรบที่นอร์มังดี ประเทศฝรั่งเศส ในปี 1944 ภาพนี้ถ่ายเมื่อกลางเดือน

กรกฎาคม 1944 ในเวลานั้น กองพลพลร่มที่ 3 ประกอบกำลังด้วย 3 กรมพล

ร่ม แต่ละกรมประกอบด้วย 3 กองพันทหารพลร่ม และ 1กองร้อยเครื่องยิงลูก

ระเบิด 1 กองร้อยทหารช่าง และ 1 กองร้อยต่อสู้รถถัง กรมพลร่มบางกรมใช้

เครื่องยิงลูกระเบิดขนาด 120 มม. บางกรมใช้ขนาด 100 มม. บางกรมใช้

เครื่องยิงแบบ 6 ลำกล้องที่เรียกว่า Nebelwerfer กองพลพลร่มที่ 3 ในปี

1944 ก่อนวัน ดี เดย์ มีกำลังพลทั้งสิ้น 17,420 คน




พลเอก เคริทซ์ สตูเดนท์ (Kurt Student) คือผู้ให้กำเนิด

หน่วยทหารพลร่มของกองทัพนาซีเยอรมัน เป็นผู้ผลักดันให้มีการใช้ทหารพล

ร่มในการรุก ในแนวคิดการรบแบบสายฟ้าแลบ (Blitzkrieg) ของนาซีเยอรมัน

เขาเกิดเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 1890 ที่เมือง Birkholz ในแคว้นปรัสเซีย ซึ่ง

ปัจจุบันอยู่ในประเทศโปแลนด์ ในสงครามโลกครั้งที่ 1 เขาเป็นนักบินขับไล่

ของกองทัพอากาศเยอรมัน ครั้นเมื่อนาซีเรืองอำนาจในเยอรมัน เขาได้เข้า

ร่วมกองทัพอากาศเยอรมัน และก่อตั้งหน่วยทหารพลร่มขึ้น


เมื่อเขาเข้ามารับผิดชอบเป็นผู้บัญชาการกองพลปฏิบัติการ

ทางอากาศที่ 7 เคริทซ์ สตูเดนท์ เป็นผู้วางแผนยุทธการเมอร์คิวรี่ ซึ่งเป็น

การใช้กำลังทหารพลร่ม เข้ายึดเกาะครีต ในปี 1941 และในช่วงท้ายของ

สงคราม โดยเฉพาะในช่วงวัน ดี เดย์ ที่สัมพันธมิตรยกพลขึ้นบกที่นอร์มังดี

ประเทศฝรั่งเศส สตูเดนท์ มีส่วนร่วมในการวางแผนใช้หน่วยทหารพลร่มของเขา ต้านทานการบุกของสัมพันธมิตร

สตูเดนท์ถูกทหารอังกฤษจับกุมตัวในเดือน เมษายน 1945 ก่อนที่เยอรมันจะ

ยอมแพ้ และถูกคุมขังอยู่จนถึงปี 1948 จึงถูกปล่อยตัว และเสียชีวิตอย่างสงบในวันที่ 1 กรกฎาคม 1978






Credit : พันเอก ศนิโรจน์ ธรรมยศ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น